วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ปฐมกษัตริย์ในตำนานแห่งนครลับแล

                     พระราชานุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ตั้งอยู่หมู่ที่ ๗ บ้านท้องทับแล ตำบลฝายหลวง
   หลังพระราชานุสาวรีย์มีเนินเตี้ยสามารถปีนขึ้นไปชมวิวได้ มองเห็นเมืองลับแลยามเย็นได้อย่างสวยงาม  


                              เจ้าฟ้าฮ่ามกุมารทรงเป็นกษัตริย์ในตำนานแห่งนครลับแลซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันครับ  มีตำนานปรัมปราเล่ามาว่า ใน นครโยกนาคพันธุ์สิงหนวัติโยนกนาคไชยบุรีศรีเชียงเเสน เกิดข้าวยากหมากเเพงจึงมีการอพยพย้ายถิ่นฐานหาที่อยู่ใหม่มีหนานคำลือ เเละ หนานคำเเสนเป็นผู้พาชาวเมืองเชียงเเสนลงมาเเละสร้างบ้านเเปลงเมืองในบริเวณที่เป็นเมืองลับเเลในปัจจุบัน ต่อมาได้หักร้างถางพงทำไร่ทำสวนจนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีวัวควายช้างม้ามากมายบริเวณที่เป็นคอกวัว ควาย ต่อมาเรียกว่า "บ้านคอกควาย "บริเวณที่เป็นโรงเลี้ยงช้าง  ต่อมาเรียกว่า " บ้านคอกช้าง "หนานคำลือเเละหนานคำเเสนมีบุตรสาวชื่อนางสุมาลี เเละ นางสุมาลามีหน้าตาสวยงาม ต่อมาได้เป็นผู้คิดการทำผ้าตีนจก หน้าหมอนหกหมอนเเปด ผู้เป็นพ่อเห็นเข้าก็ชอบใจเเละคิดว่าจะนำไปถวายเเก่กษัตริย์เมืองโยนก
            เมื่อกษัตริย์โยนกเห็นเเล้วก็ชอบพระทัยจึงขอนางสุมาลีเเละนางสุมาลาให้เเก่โอรส คือ เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร   หนานคำลือเเละหนานคำเเสนเห็นว่าลับเเลยังไม่มีกษัตริย์ปกครองจึงทูลขอให้เจ้าฟ้าฮ่ามกุมารลงไปปกครองเมืองลับเเล   เมืองโยนกจึงจัดขบวนขันหมากสู่ขอนางสุมาลีเเละนางสุมาลาถึงลับเเล   เมื่อเข้าเขตลับเเล   ชาวเมืองลับแลพร้อมใจกันต้อนรับเจ้าฟ้าฮ่ามเเละขบวนขันหมากด้วยความยินดีจึงได้ปูผ้าขาวตลอดทางเข้าสู่เขตลับเเล ที่นั่นจึงได้ชื่อว่า  บ้านต้นเกี๋ย ( ต้นเกลือ )    เมื่อมาถึงเจ้าฟ้าฮ่ามจึงได้มอบเเหวนให้เเก่นางสุมาลีเเละนางสุมาลา ที่นั่นจึงได้ชื่อว่า บ้านปันเเหวน เมื่อเห็นดังนั้นชาวเมืองต่างพากันยินดี ที่นั่นจึงได้ชื่อว่า บ้านเเสนสิทธิเจ้าฟ้าฮ่ามปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุข
                 สำหรับพระราชประวัติของเจ้าฟ้าฮ่ามกุมารพระองค์นี้กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรในพระเจ้าเรืองไทธิราช กษัตริย์ราชวงศ์สิงหนวัติแห่งอาณาจักรโยนกเชียงแสน พระองค์ได้รับโปรดเกล้าฯ จากพระราชบิดาให้มาปกครองนครลับแล ซึ่งถือว่าเป็นเมืองชายแดนของอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสนเมื่อปี พ.ศ. ๑๕๑๓ เพื่อป้องกันภัยจากการรุกรานของกำโพชนคร (ขอม) และ พม่า จึงอาจกล่าวได้ว่า พระองค์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งนครลับแล
                 ในปี พ.ศ. ๑๕๐๖อาณาจักรโยนกเชียงแสน อันมีเมืองนาคพันธ์สิงหนวัติชัยบุรีศรีช้างแสนเป็นราชธานี (ปัจจุบันคืออำเภอเชียงแสน  จังหวัดเชียงราย) ได้เกิดสงครามรบพุ่งกันอยู่เนืองๆ ทั้งโรคระบาดเกิดขึ้นมากมาย มีผู้เจ็บป่วยล้มตายอยู่เป็นประจำ ราษฎรต่างพากันแยกย้ายละทิ้งถิ่นฐานเดิมไปหาแหล่งทำมาหากินที่ใหม่กันเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีราษฎรประมาณ ๗๐ ครัวเรือนทนต่อความทุกข์ยากในนครเชียงแสนไม่ไหวจึงได้ชักชวนกันไปหาที่ทำกิน และยกให้หนานคำลือ กับหนานแสนคำ เป็นหัวหน้าครอบครัว เดินทางล่องใต้เพื่อแสวงหาถิ่นฐานทำกินแห่งใหม่ หนานคำลือกับหนานแสนคำฝันว่าดวงวิญญาณของ "เจ้าปู่พญาแก้ววงเมือง" (กษัตริย์องค์ที่ ๑๓ แห่งนครโยนก) มาบอกว่าที่แหล่งทำมาหากินอันอุดมสมบูรณ์มีน้ำตกและธารน้ำไหลตลอดทุกฤดูกาล สภาพดินฟ้าอากาศไม่หนาวไม่ร้อน ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญดวงวิญญาณของปู่พญาแก้ววงเมืองไปด้วยเพื่อเสาะหาแหล่งทำมาหากินให้ได้ตามความฝันนั้น การเดินทางผ่านจังหวัดลำปางและจังหวัดแพร่ในที่สุดก็บรรลุถึงหุบเขาลับแล จนสามารถมองเห็นภูมิประเทศซึ่งตรงกับความฝันทุกประการ ประกอบด้วย น้ำตกธารน้ำไหล ดินฟ้าอากาศชุ่มเย็น มีภูเขาเตี้ยๆ อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด แสงแดดส่องลงถึงพื้นดินเพียงครึ่งวัน จึงตกลงใจปักหลักสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า "บ้านเชียงแสน" ช้าง ม้า วัว ควาย ที่นำมาด้วยก็จัดให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ห่างไกลเป็นระยะๆ พอสมควร ต่อมาบริเวณที่ควายอยู่ก็ให้ตั้งชื่อว่า "บ้านคอกควาย" และที่ช้างอาศัยอยู่ก็ให้ตั้งชื่อว่า "บ้านคอกช้าง" ชื่อหมู่บ้านเหล่านี้ได้มีการเรียกขานกันจนถึงปัจจุบัน

                   เมื่อตั้งบ้านเรือนเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านจึงประชุมกันแต่งตั้งให้หนานคำลือเป็น "เจ้าแคว้น" (เทียบเท่ากับกำนัน) ปกครองชาวบ้าน และแต่งตั้งให้หนานคำแสนเป็น "เจ้าหลัก" (เทียบเท่ากับผู้ใหญ่บ้าน) เจ้าหนานทั้งสองได้ดูแลปกครองลูกบ้านอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเป็นเวลายาวนาน ๗ ปีเศษ จึงมอบหมายให้หนานคำลือเป็นหัวหน้านำราษฎรจำนวน ๑๐ กว่าคนเดินทางรอนแรมออกจากลับแลกลับไปส่งข่าวยังโยนกนคร เมื่อเดินทางถึงแล้วเจ้าแคว้นก็ได้นำราษฎรเข้าเฝ้าพระเจ้าเรืองไทธิราช กษัตริย์องค์ที่ ๒๑ แห่งโยนกนคร และกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบถึงการอพยพไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากิน อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข พระเจ้าเรืองธิราชดีพระทัยยิ่งนัก นอกจากนั้นยังกราบทูลให้ทรงทราบอีกว่าที่ลับแลยังไม่มีพระสงฆ์ที่จะคอยอบรมสั่งสอนบุตรหลานและประกอบพิธีกรรมต่างๆ พระองค์ก็ให้พระสงฆ์มาอยู่ด้วย ๖ รูป ครั้นเมื่อเดินทางกลับมาถึงลับแลราษฎรต่างก็ดีใจ ญาติพี่น้องที่ติดตามมาก็ได้พบปะกันอีกคราว และมีพระสงฆ์มาด้วยอีก ๖ รูป จึงได้จัดที่พักพาอาศัยให้ชั่วคราว แล้วช่วยสร้างวัดขึ้นเป็นแห่งแรกในลับแล ชื่อ "วัดเก้าเง้ามูลศรัทธา" หรือเรียกกันว่า "วัดใหม่"
                                ลับแลมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ราษฎรอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข บุตรหลานก็เจริญเติบโต บ้างก็มีครอบครัวแยกย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานทำมาหากินกันตามอัธยาศัย แต่บุตรสาวเจ้าแคว้นและเจ้าหลักชื่อสุมาลี และสุมาลา ทั้งสองสาวผิวพรรณผ่องใสสวยงาม กิริยามารยาทเรียบร้อย มีความฉลาดหลักแหลม ขยันขันแข็ง หากมีเวลาว่างก็จะสนใจในงานเย็บปักถักร้อย จนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน นางทั้งสองได้ช่วยกันคิดค้นจนสามารถสร้างหูกทอผ้าได้เป็นผลสำเร็จ และช่วยกันทอผ้าแบบต่างๆ ที่ใช้สอยกัน ที่สำคัญคือนางทั้งสองได้ช่วยกันคิดค้นทอผ้าซิ่นตีนจกจนเป็นผลสำเร็จ มีลวดลายสวยสดงดงาม นำวิถีชีวิตของชาวลับแลถ่ายทอดลงไปบนเชิงผ้า และงานจกผ้าอื่นๆ ผสมกลมกลืนกันได้อย่างงดงาม ตลอดจนอบรมเผยแพร่ให้กับบุตรหลานชาวบ้านจนสืบทอดกันมาถึงทุกวันนี้ เจ้าแคว้นและเจ้าหลักเห็นว่าสิ่งประดิษฐ์ที่บุตรสาวทั้งสองได้ทำขึ้นนั้นมีคุณค่าสวยงาม เหมาะสมที่เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน จะได้ใช้สอยด้วย จึงชักชวนกันนำสิ่งประดิษฐ์และนำบุตรสาวทั้งสองไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเรืองไทธิราช พร้อมกับถวายผ้าซิ่นตีนจกและสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายที่ได้จากการถักทอของบุตรสาว    พระเจ้าเรืองไทธิราชพอพระทัยยิ่งนักออกปากชมมิได้หยุด พระองค์พิเคราะห์ดูแล้วเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองคนนี้มีลักษณะรูปทรงผิวพรรณดีผิดแผกจากสามัญชนธรรมดาทั่วๆ ไป มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการเหมาะที่จะเป็นชายาแห่งราชบุตรของพระองค์ได้ จึงเอ่ยปากขอบุตรทั้งสองคนต่อเจ้าแคว้นและเจ้าหลักเพื่ออภิเษกให้เป็นชายาของเจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ราชบุตรของพระองค์ ส่วนเจ้าแคว้นและเจ้าหลักกราบทูลว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น เป็นบุญวาสนาแก่ธิดาของข้าพเจ้าทั้งสองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แล้วแต่จะทรงพระกรุณา แล้วเจ้าแคว้นกับเจ้าหลักจึงกราบบังคมทูลลากลับเมืองลับแล
                   พระเจ้าเรืองไทธิราชจึงประกาศหมายกำหนดการให้อภิเษกสมรสพระราชบุตรภายในเวลา ๖ เดือน ครั้นถึงกำหนดเจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร พร้อมพระญาติ สมณชีพราหมณ์ ทหาร ข้าทาสบริวาร ตกแต่งขบวนขันหมากแห่แหนจากโยนกนคร เดินทางมุ่งหมายมายังเมืองลับแลประกอบพิธีอภิเษกสมรสตามราชประเพณีเชียงแสนโบราณ พร้อมกับตั้งให้นางสุมาลี และนางสุมาลา เป็นชายาซ้าย-ขวา โดยพระราชทานนามว่า "พระเทวีเจ้าสุมาลา" และ "พระเทวีเจ้าสุมาลี" และโปรดฯ ให้สร้างวังขึ้นในบริเวณที่เป็นวัดป่าแก้วเรไรหรือวัดเจดีย์คีรีวิหาร ซึ่งมีร่องรอยของคูเมืองอยู่ เจ้าฟ้าฮ่ามกุมารก็ได้ขึ้นครองเมืองลับแลเป็นปฐมตั้งแต่นั้นมา (พ.ศ.๑๕๑๓)
จากนั้นได้มีราษฎรอพยพมาอยู่เพิ่มมากขึ้น พระองค์ได้จัดสรรที่อยู่อาศัยและที่ทำมาหากินให้แก่ราษฎรโดยทั่วหน้ากัน ราษฎรเชื้อสายเชียงแสนให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่บ้านคอกช้างบ้านต้นเกลือถึงบ้านท้องลับแลบ้านยางกระดายบ้านนาแต๊วบ้านนาทะเลและบ้านปากฝาง พระองค์ทรงดำรงตนอยู่ใต้ทศพิธราชธรรม ทรงปกครองราษฎรแบบบิดาปกครองบุตร ตัดสินคดีความด้วยพระเมตตา อบรมสั่งสอนราษฎรเป็นพลเมืองดี มีความขยันขันแข็ง ทุกคนก็อยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา พระองค์มีจิตใจฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาเป็นยิ่งนัก เมื่อครั้ง พ.ศ.๑๕๑๙ พระองค์ทรงดำริให้จัดสร้างสถูปเจดีย์เพื่อประกาศพระศาสนา และได้เสด็จไปยังเมืองโยนกนครเพื่อขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากดอยตุง จังหวัดเชียงราย อัญเชิญมาบรรจุไว้ที่สถูปเจดีย์วัดป่าแก้วเรไร (วัดเจดีย์คีรีวิหาร) เป็นวัดแห่งแรกของเมืองลับแล
ราว พ.ศ. ๑๕๒๕ หลังจากปราบพวกขอมที่มารุกรานราบคาบแล้วพระองค์จึงเสด็จไปเมืองโยนกนครอีกครั้งเพื่อขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากพระบิดาจำนวน ๓๒ องค์ เพื่อมาบรรจุไว้ ณ สถูปเจดีย์ม่อนธาตุ ทั้งได้สร้างวัดชัยชุมพล และวัดดอยชัย ขึ้นไว้ในหมู่บ้านอีกด้วย
                  เจ้าฟ้าฮ่ามกุมารได้ครองเมืองลับแลอยู่เป็นเวลายาวนาน ทำนุบำรุงบ้านเมืองจนเจริญก้าวหน้า ราษฎรอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข จนชราภาพจึงเสด็จสวรรคต ยังความโศกเศร้าอาลัยของอาณาประชาราษฎร์เป็นยิ่งนัก จึงพร้อมใจกันนำอัฐิของพระองค์มาบรรจุไว้ ณ ม่อนอารักษ์ เพื่อเป็นที่สักการบูชาของประชาชนทั่วไป และเกิดประเพณีแห่น้ำขึ้นโรงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

ธรรมเนียมการแห่น้ำขึ้นโรง      
                          งานประเพณีแห่น้ำขึ้นโรง คือการนำน้ำศักดิ์สิทธิ์ประพรมด้วยน้ำอบ น้ำหอม ขึ้นไปถวายสักการะดวงวิญญาณเจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร พร้อมเครื่องถวาย เพื่อทำการขอพรให้ประชาชนชาวอำเภอลับแลอยู่ดี กินดี ร่มเย็นเป็นสุข ฝนตกต้องตามฤดูกาล จัดดขึ้นในวันที่ ๑๔ เมษายนของทุกปี ณ บริเวณเชิงดอยม่อนอารักษ์
ในสมัยก่อนที่ทางราชการจะเข้าไปร่วมมือด้วย จะมีชาวบ้านจัดงานประเพณีแห่น้ำขึ้นโรง (วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี) เพื่อเป็นการรดน้ำดำหัวให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยการทำน้ำอบ-น้ำหอมไปสรงตามศาลซึ่งเป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้าน เช่น ศาลประจำหมู่บ้าน เรียกว่าศาลปู่เจ้า หรือเรียกศาลปู่เจ้าปู่เชื้อ ตามความเชื่อของชาวบ้านที่จะได้แสดงความเคารพนับถือบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว เชื่อกันว่าจะทำให้ลับแลมีความอุดมสมบูรณ์ อยู่เย็นเป็นสุข ขอน้ำ ขอฝน ให้ตกต้องตามฤดูกาล โดยกำหนดให้สร้างศาลเจ้าฟ้าฮ่ามกุมารเป็นจุดชุมนุมของคนมาร่วมพิธีด้วย ถือกันว่าเป็นที่สถิตดวงวิญญาณของเจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ปฐมกษัตริย์ผู้ครองเมืองลับแล ตลอดจนเทพารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์ได้สร้างบ้านแปลงเมืองให้อยู่กันมาอย่างร่มเย็นเป็นสุขมาตราบจนถึงทุกวันนี้
ภายในงานจัดให้มีการแห่ขบวนตุงแบบล้านนาที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีการฟ้อนแบบต่างๆ ของล้านนา ถวายเป็นราชสักการะ มีการอัญเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปสรงถวายแด่พระราชานุสาวรีย์ เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่พระราชทานแก่ชาวเมืองลับแล และชาวอุตรดิตถ์มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และยังเป็นการขอพระราชทานพรอันศักด์สิทธิ์จากเจ้าฟ้าฮ่ามกุมารอีกด้วย
                   ใน พ.ศ. ๒๔๔๔ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสที่ลับแลทรงเห็นความเดือดร้อนของชาวบ้าน จึงสร้างฝายหลวงขึ้น โดย พระศรีพนมมาศเป็นผู้สนองพระราชโองการ สร้างฝายขึ้นมา ๒ ฝาย คือ ฝายกู้กับฝายหลวงเพื่อชึ่งถือว่าเป็นฝายแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อใช้ในการเกษตร ฝายหลวงเป็นชื่อที่ลำลึกนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ชาวบ้านจึงเรียก ตำบลฝายหลวง และพระราชานุสาวรีย์ของ เจ้าฟ้าฮ่ามกุมารนี้สร้างขึ้นเพื่อ รำลึกถึงบรรพบุรุษของเมืองลับแล บนเนินเขาด้านหลังอนุสาวรีย์มีทางขึ้นไปยังจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพของเมืองลับแลได้อย่างงดงาม
                                 ทั้งนี้เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแบบเชียงแสน หรือ ล้านนาโบราณ ซึ่งเป็นประเพณี อันดีงามของท้องถิ่น รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวของตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล ให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ภายในงานจัดพิธีตักน้ำและอัญเชิญน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์บริเวณเวียงเจ้าเงาะ ตำบลทุ่งยั้ง เพื่อบวงสรวงสักการะดวงวิญญาณของเจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ปฐมกษัตริย์ของเมืองลับแล ซึ่งถือว่าเป็นที่เคารพสักการะของชาวลับแลมาตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน มีขบวนแห่ตุงล้านนาอันยิ่งใหญ่สวยงาม โดยมีช้างนำหน้าจำนวน ๑๐ เชือก การแสดงฟ้อนแบบล้านนา และได้อัญเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์ เครื่องสักการะ ประกอบด้วย ข้าวปลาอาหารคาวหวาน หมากพลู เหล้า ยา ผลไม้ และบายศรี เคลื่อน ขบวนไปยังพระราชานุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร บริเวณฝายน้ำล้น (ฝายหลวง) พราหมณ์ทำพิธีสักการะดวงวิญญาณเจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ถวายเครื่องสักการะ สวมพวงมาลัย สรงน้ำ และถวายผ้าคาดเอว มีผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานทุกปี
                                           ภาพแผ่นจารึกใต้พระราชานุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
- http://www.wikalenda.com/  (งานประเพณีแห่น้ำขึ้นโรง , Admin)
- http://www.xn--l3cjf8d8bveb.com/  (อนุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร , nongview)
- http://www.utdid.com (เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร)
- http://th.wikipedia.org (เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร , วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
- http://www.chaikhao.com (เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร กษัตริย์เมืองลับแล , Tzulung)
- http://www.cm77.com (เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร , krissanapong)
- http://writer.dek-d.com (เจ้าฟ้าฮ่ามกุมารปฐมกษัตริย์แห่งนครลับแล/เกร็ดประวัติศาสตร์ Chanyanuch (ชัญญานุช)