วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พระญากือนาธรรมิกราช กับยุคทองแห่งพระพุทธศาสนา

ภาพพระญากือนาธรรมิกราช  กษัตริย์องค์ที่ ๖แห่งราชวงศ์มังราย
ผู้สร้างวัดพระธาตุดอยสุเทพ ในหนังสือตำนานวัดพระธาตุดอยสุเทพ

                       พระญากือนาธรรมิกราช(ตื้อนา หรือ กิลนา) พระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย ทรงเป็นพระราชโอรสของพระญาผายู ทรงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อ พ.ศ.๑๘๙๘ ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนาและมีพระปรีชาสามารถในศาสตร์ต่างๆ ทรงปกครองเมืองด้วยทศพิธราชธรรม บ้านเมืองมีความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง เหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของพระองค์ก็คือ การรับเอาพระพุทธศาสนาเถรวาท ลังกาวงศ์สายรามัญมาจากสุโขทัย แต่เดิมพุทธศาสนาในล้านนาสมัยพระญามังรายจนถึงสมัยพระญาผายู เป็นพุทธศาสนาเถรวาทที่สืบทอดมาจากหริภุญชัยและผสมกับพุทธศาสนาที่มาจากหงสาวดีและอังวะ 

                     ในรัชสมัยของพระองค์พุทธศาสนาลัทธิเถรวาทลังกาวงศ์สายรามัญ ได้แพร่หลายเข้ามาสู่เชียงใหม่ครั้งแรกในรัชสมัยของพระญากือนา โดยผ่านทางเมืองสุโขทัย โดยครั้งนั้นพระญากือนาทรงมีพระประสงค์ให้พระภิกษุอรัญญวาสีมาอยู่ที่เชียงใหม่ และเพื่อให้ทำสังฆกรรมได้ครบทุกประการ จึงได้ทรงอาราธนาพระสุมนเถระชาวสุโขทัยมาจากสุโขทัยในราวปี พ.ศ. ๑๙๑๒  พระสุมนเถระมาถึงหริภุญชัยได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพระยืน พระญากือนาทรงเลื่อมใสในพระสุมนเถระด้วยทรงเห็นว่า ท่านเป็นฝ่ายอรัญญวาสีมีความรู้สึกซึ้งในศาสนา โดยเฉพาะท่านได้บวชมาในสายรามัญ ซึ่งทำสังฆกรรมถูกต้องตาม พระวินัยบัญญัติ พระญากือนาจึงโปรดให้พระพื้นเมืองในล้านนา หรือนิกายเดิมที่สืบต่อกันมาแต่ครั้งพระนางจามเทวี เข้าพิธีอุปสมบทใหม่กับพระสุมนเถระจำนวนหลายพันรูป ในสมัยโบราณก่อนที่จะรับลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในล้านนา จากหลักฐานทางโบราณคดีตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างสันนิษฐานว่าล้านนานับถือพุทธศาสนามาก่อนแล้ว เป็นนิกายมหายาน โดยได้มีการขุดพบเศียรพระพุทธรูปแบบทวาราวดีที่หริภุญชัย และพบธรณีย์มนต์ตามคติมหายานที่อำเภอเชียงแสนและล้านนา มีประเพณีทำบุญปอยข้าวสัง อุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตายประเพณีนี้เหมือนพิธีกงเต๊กตามคติมหายาน จึงสันนิษฐานได้ว่าล้านนามีการนับถือภูตผีปีศาจวิญญาณ และนับถือวิญญาณบรรพบุรุษ ในขณะเดียวกันแคว้นหริภุญชัยได้มีการนับถือพระพุทธศาสนามาแต่ครั้งพระนางจามเทวี เชื่อกันว่าแคว้นหริภุญชัยจะเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาตลอดมา จนถึงสมัยพระญากือนา  เมื่อพุทธศาสนาจากแคว้นสุโขทัยได้เข้ามาแพร่หลายในล้านนา มีผลทำให้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างล้านนากับอาณาจักรสุโขทัย ทั้งทางศาสนา ศิลปกรรม และประเพณี สมัยต่อมาพุทธศาสนาได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของคนล้านนาพระสงฆ์ได้รับการยกย่องจากสังคมล้านนามาก บทบาทของพระสงฆ์มีหลายด้านด้วยกันอาทิเช่น ทางด้านการศึกษา พระสงฆ์มีฐานะเป็นครูของประชาชน ด้านการเมืองตั้งแต่สมัยพญากือนาเป็นต้นไปพบหลักฐานว่าพระสงฆ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินคดีความต่างๆร่วมกับขุนนางของบ้านเมือง และจากหลักฐานตำนานราชวงศ์พื้นเมืองเชียงใหม่เขียนว่า พระสงฆ์มีบทบาทในการว่ากล่าวตักเตือนพระมหากษัตริย์ล้านนาผู้ประพฤติไม่ถูกต้อง และยังเป็นที่พึ่งของราษฎรในยามบ้านเมืองอยู่ในความยุ่งยาก เช่น สงคราม 


                     พระญากือนาสร้างวัดบุปผาราม (สวนดอก) ขึ้นในอุทยานป่าไม้พยอม สำหรับเป็นที่จำพรรษาของพระสุมนเถระในปี พ.ศ. ๑๙๑๔ และจัดทำเวียงสวนดอกให้เป็นเวียงพระธาตุเมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๖ ต่อมาทรงโปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระสุมนเถระอัญเชิญมาจากสุโขทัย โดยจัดสร้างขึ้น ๒ แห่ง คือ ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ และที่วัดสวนดอก 

วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่

                     ครั้นพระสุมนเถระเข้าจำพรรษาอยู่ที่วัดบุปผาราม (สวนดอก) แล้ว ได้ดำเนินการเผยแผ่พุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่ได้ศึกษามาจากพระอุปัชฌาย์ (พระอุทุมพรมหาสวามีในรามัญประเทศ) และเมื่อพำนักอยู่วัดสวนดอกต่อมาได้ ๑๘ ปีท่านก็ถึงแก่มรณภาพในปี พ.ศ. ๑๙๓๒ 

                     ดังนั้นศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนาเถรวาทลังกาวงศ์ในรัชสมัยของพระญากือนา จึงเป็นศูนย์กลางของสายรามัญ ต่อมาเรียก ลังกาวงศ์รุ่นแรก นิกายสวนดอก หรือนิกายรามัญ เนื่องจากพระสุมนเถระได้บวชเรียนมาจากสำนักของพระมหาสวามีอุทุมพรที่เมืองเมาะตะมะในรามัญประเทศ พระญากือนาทรงสนับสนุนให้พระภิกษุจากเมืองต่างๆ เช่น เชียงแสน เชียงตุง เดินทางมาศึกษาพุทธศาสนาที่วัดสวนดอก เมืองเชียงใหม่จึงเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระธรรมวินัย นับเป็นความพยายามที่จะให้เชียงใหม่และล้านนาเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแทนหริภุญชัยซึ่งเคยมีบทบาทมาก่อนหน้านั้น

                       การรับพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัยในสมัยพญากือนา เป็นจุดเริ่มต้นของความตื่นตัวทางด้านภูมิปัญญาศาสนา ซึ่งนำไปสู่ความเจริญของพุทธศาสนาในยุคทองของล้านนา ต่อมาอาณาจักรล้านนาในสมัยพระญากือนาจึงมีเสถียรภาพทั้งด้านการเมืองและการปกครองมากขึ้น 
ต่อมาพระญากือนาได้ทรงยกเลิกการส่งส่วยต่อฮ่อ ซึ่งได้เคยปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังรายตอนต้น ดังนั้นพอถึง พ.ศ. ๑๙๐๘ พระญาฮ่อลุ่มฟ้าจึงทวงถามเอาส่วยข้าว ๙๐๐๐ คานงาช้าง ๒๐ หาบ ผ้าขาว ๔๐๐ รำ ถ้วยแช่สัก ๑๐๐๐ ลาย ๕๐๐ เขียว ๒๐๐ ขาว ๓๐๐ เป็นส่วยแก่เจ้าลุ่มฟ้า พระญากือนาจึงปฏิเสธไม่ส่งส่วยต่อฮ่ออีก การไม่ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว ทำให้กษัตริย์เชียงใหม่องค์ต่อๆ มา คือ พระญาแสนเมืองมา และพระญาสามฝั่งแกน ก็พลอยไม่ส่งส่วยด้วย ภายหลังกองทัพฮ่อจึงยกมาทวงส่วยในสมัยของพระญาสามฝั่งแกน เมื่อพระองค์ไม่ยอมส่งให้ กองทัพฮ่อจึงเข้าล้อมเมืองเชียงแสน จนเกิดการรบและฮ่อก็พ่ายแพ้ไป

                     พระญากือนาทรงสวรรคตขณะมีพระชนมายุ ๔๖ พรรษา ทรงครองราชสมบัติได้ ๓๐ ปี สถานที่ที่ทรงสวรรคตคือคุ้มเวียงบัว อันตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของวัดป่าเป้า ริมคูเมืองเชียงใหม่ด้านเหนือ ต่อมาคุ้มนี้ในสมัยของพระญาสามฝั่งแกน ได้สร้างเป็นวัดพราหมณ์



ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
-http://www.chiangmai.smileplaza.net (พญากือนา:กษัตริย์ในราชวงศ์มังรายที่มีบทบาทสำคัญ)
-อุดม เชยกีวงศ์.(๒๕๕๐).ยุคทองแห่งวรรณกรรมพุทธศาสนาของลานนาไทย/พระยากือนา,หนังสือพระเจ้ามังรายมหาราช(๑๒๐-๑๒๑),สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา
-http://www.hflight.net (หนีเมืองกรุง ไปอาบแดดยังเชียงใหม่กับใคร? ไปดูกัน by f2f: Premium Members )
-http://www.oknation.net (ไขปริศนาพญากือนาหน้าเหลี่ยม:โดยบางอ้อ)
- http://chiangmainavigator.com (สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่:วัดสวนดอก)

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พระญาผายู ความสงบสุขของแคว้นล้านนา


                พระญาผายูทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์มังราย หรือในหนังสือชินกาลมาลี ปกรณ์ เรียกพระองค์ว่า พระเจ้าตายุมหาราช ทรงเป็นพระราชโอรสของพระญาคำฟู ทรงครองราชย์สมบัติในปี พ.ศ.๑๘๗๙  ในยุคนี้นครเชียงใหม่มีสภาพเป็นราชธานีอีกครั้งหนึ่ง เพราะพระญาผายูไม่โปรดที่จะปกครองเมืองเชียงแสนเช่นเดียวกับพระบิดา เหตุที่ทรงย้ายที่ประทับลงมายังเมืองเชียงใหม่ อาจเป็นเพราะเขตทางตอนบนมีความมั่นคง โดยสามารถสร้างเมืองเชียงแสนเป็นปราการป้องกันศึกฮ่อได้อย่างเข้มแข็ง และสามารถผนวกพะเยาได้ ขณะเดียวกั้นพระญาผายูทรงสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเมืองเชียงของในเขตลุ่มน้ำกก โดยการอภิเษกกับพระนางจิตราเทวี ราชธิดาของเจ้าเมืองเชียงของ   
วัดพระสิงห์วรมหาวิหารที่พระญาผายูทรงสร้างขึ้นในปี ๑๘๘๘ เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิ
ของพระญาคำฟู พระราชบิดา
             
               พ.ศ.๑๘๘๘ พระญาผายู ทรงโปรดให้สร้างวัดขึ้นบริเวณ ‘’กาดลีเชียง’’ หรือ ‘’ตลาดลีเชียง’’ พร้อมกับสร้างพระเจดีย์สูง ๒๔ วา เพื่อบรรจุพระอัฐิของ พระญาคำฟู ผู้เป็นพระราชบิดา วัดนี้เรียกว่า วัดลีเชียงพระ หรือ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ในปัจจุบัน ให้เป็นวัดสำคัญของเชียงใหม่
                               พระญาผายูทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข การพระศาสนาเจริญรุ่งเรือง พระองค์ทรงครองราชย์สมบัติ ณ เมืองเชียงใหม่ได้ ๒๘ พรรษา ลุปีมะเมีย พ.ศ.๑๘๙๘ (จุลศักราช ๗๒๙) พระชนมายุได้ ๕๗ พรรษาก็เสด็จสวรรคต เสนาอำมาตย์จึงพร้อมใจกันไปอัญเชิญเอาท้าวกือนาหรือพ่อท้าวตื้อนา พระราชโอรสซึ่งไปครองเมืองเชียงแสนมาเป็นกษัตริย์สืบสันติวงศ์สืบต่อมา
ความงดงามของพญานาคภายในวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร





ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
-http://www.chiangmai-thailand.net (กษัตริย์และพระเป็นเจ้านครเชียงใหม่:หนังสือเจ้าหลวงเชียงใหม่)
-http://board.palungjit.com (วัดลีเชียงกตัญญูแห่งพระเจ้าผายู: vacharaphol)
-http://www.kwc.ac.th (อาณาจักรล้านนา:อ.สุริยัน พินทอง)
-http://www.kammatan.com (วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จ.เชียงใหม่:golfreeze) 

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

พระญาคำฟู ยุคการวางฐานอำนาจของอาณาจักรล้านนา

                  พระญาคำฟู (พ.ศ.๑๘๗๗-๑๘๗๙) รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์มังราย   เมื่อพระญาแสนภูสิ้นพระชนม์ พระญาคำฟูได้ขึ้นครองราชย์ พระญาคำฟูทรงมอบให้ พระญาผายูราชโอรสครองเมืองเชียงใหม่ ส่วนพระองค์เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองเชียงแสน อาณาจักรล้านนาในสมัยนี้ มีความเข้มแข็ง เห็นได้จากนโยบายขยายอาณาเขตไปทางตะวันออก โดยเริ่มทำสงครามกับพะเยาในปี พ. ศ. ๑๘๘๓ ซึ่งมีผู้ปกครองคือ ขุนคำลือ  โดยพระญาคำฟูทรงชักชวนพระญากาวแห่งเมืองน่านยกทัพตีเมืองพะเยา แต่พระญาคำฟูเข้าเมืองพะเยาจึงเอาทรัพย์สินในเมืองทั้งไปทั้งหมด    พระญากาวน่านจึงยกทัพมาตีพระญาคำฟู    พระญาคำฟูเสียทีก็เลยยกทัพกลับเชียงแสน กองทัพพระญากาวเมืองน่านติดตามไปยกทัพเลยไปตีถึงเมืองฝางได้  แต่ถูกทัพของพระญาคำฟูที่ยกทัพใหญ่มาตีถอยล่นกลับเมืองน่าน เมืองพะเยาในสมัยนั้นอ่อนแอมากจึงได้ถูกยึดเมืองผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของอาณาจักล้านนานับแต่นั้นมา หลังจากยึดพะเยาได้แล้ว พ.ศ.๑๘๘๓  พระญาคำฟูขยายอำนาจไปยังเมืองแพร่ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จจึงถอยทัพกลับมาทางเมืองลำปาง มาประทับทีเมืองเชียงใหม่ (แสดงให้เห็นว่าการรวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ทางตะวันออก ของล้านนา ไม่ใช่กระทำได้ง่าย ๆ และการย้ายที่ประทับของกษัตริย์มายังแคว้นตอนบนถึง ๓ รัชกาลติดต่อกัน ก็เป็นเหตุผลด้านยุทธศาสตร์ พระญาคำฟูสิ้นพระชนม์ที่เมืองเชียงคำ) พ. ศ. ๑๘๘๗ เสด็จไปเยี่ยมพระสหายเป็นเศรษฐีใหญ่ชื่องัวหงส์อยู่เมืองเชียงคำ อันตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำคำ
                    พระญาคำฟูกับเศรษฐีงัวหงส์คนนี้รักใคร่กันมากจนถือน้ำสาบานต่อกันว่าจะไม่คิดร้ายต่อกัน  หากผู้ใดผู้หนึ่งคิดร้ายขอให้มีอันเป็นไปถึงชีวิต เศรษฐีงัวหงส์เป็นคนค่อนข้างขี้ริ้วขี้เหร่อยู่ แต่น้ำใจงดงามทั้งยังมีภรรยาสาวสวยชื่อ นางเรือนแก้ว เมื่อพระญาคำฟูเสด็จถึงบ้านเศรษฐีนางเรือนแก้วก็ต้อนรับขับสู้ด้วยความสนิทสนม เอาน้ำมาล้างพระบาทให้เมื่อวันเวลาผ่านมาผ่านไปด้วยความสนิทชิดใกล้ประกอบกับนางเรือนแก้วก็เป็นคนสวย ทั้งสองก็มีความพึงพอใจต่อกันพระญาคำฟูและนางเรือนแก้วจึงลักลอบสมัครสังวาสกัน  ด้วยเหตุที่พระองค์เสียสัตย์สาบานต่อมหามิตร ครั้นอยู่มาได้ ๗ วัน พระญาคำฟูลงไปสรงน้ำดำเศียรเกล้าที่แม่น้ำคำก็มีเงือกผีพรายน้ำใหญ่ตัวหนึ่ง(จระเข้)  ออกมาจากเงื้อมผาตรงเข้าขบกัดเอาร่างพระญาคำฟูหายลงไปในน้ำผ่านไปถึง ๗ วันร่างนั้นจึงลอยขึ้นมา สวรรคตเมื่อพระชนม์ ๔๗ พรรษา เสนาอำมาตย์จึงเชิญพระศพกลับเมืองเชียงแสน แล้วจึงทูลเชิญเสด็จท้าวผายูมาจัดการพระบรมศพถวายพระเพลิงพระญาคำฟู  แล้วอัญเชิญพระอัฐิและพระอังคารของพระองค์บรรจุลงในผอบทองคำชั้นหนึ่ง  ผอบเงินชั้นหนึ่ง ผอบทองแดงอีกชั้นหนึ่งไปยังนครเชียงใหม่  แล้วก่อพระสถูปเจดีย์องค์เล็กบรรจุไว้ ณ ริมตลาดลีเชียง แล้วโปรดให้สร้างพระวิหารขึ้นหลังหนึ่ง ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ ตั้งชื่อว่าวัดลีเชียง(ปัจจุบันคือวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร)  ต่อมาได้ขุดค้นพบ พระโกฏิที่บรรจุพระอัฐิของพระองค์เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ มีทองคำจารึกลายพระนามพระมหา เถรในยุคนั้นหนังถึง ๓๖๐ บาท   ส่วนนางเรือนแก้วมีความเสียใจมากจึงผูกคอตาย  เศรษฐีงัวหงส์ก้เสียใจต่อเหตุการณ์จึงถือศีลภาวนาตลอดชีวิต
                  เมื่อพระญาคำฟูสิ้นพระชนม์ ท้าวผายูได้สืบราชสมบัติแทน แต่ไม่ได้เสด็จไปประทับอยู่เมืองเชียงแสน คงประทับอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ดังนั้น เมืองเชียงใหม่จึงได้มีความสำคัญกลายเป็นศูนย์กลาง ของราชอาณาจักรอีกครั้งและนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเมืองเชียงใหม่ได้กลายเป็นราชธานี ของอาณาจักรล้านนาอย่างแท้จริง และกษัตริย์ล้านนาในลำดับต่อๆมา จะประทับอยู่ที่เมืองเชียงใหม่แทบทุกพระองค์
แผ่นจารึกมหาเจดีย์และกู่บรรจุอัฐิพระญาคำฟู


ในสมัยของพระญาไชยสงคราม – สมัยพระญาคำฟู นับว่าเป็นสมัยของการสร้างราชอาณาจักรล้านนาซึ่งเป็นรากฐานของความรุ่งเรืองและมหาอำนาจในกาลต่อมา
                   ตั้งแต่สมัยพระญาไชยสงครามจนถึงสมัยพระญาคำฟู ได้มีการย้ายที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขึ้นไปยังเชียงรายและเชียงแสนตามลำดับ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า อาณาจักรล้านนาช่วงรัชสมัยพระญาไชยสงครามถึงพระญาคำฟู มีศูนย์กลาง ๒ แห่ง คือ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำกก มีศูนย์กลางที่เชียงรายกับเชียงแสนตามลำดับและเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงมีศูนย์กลางที่เชียงใหม่ สันนิษฐานว่าการย้ายที่ประทับขึ้นไปอยู่แคว้นโยนน่าจะมาจากปัจจัยสำคัญ ๒ ประการดังนี้
             ๑.การรวมภูกามยาวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา แม้ว่าพระญามังรายมหาราชจะประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการสร้างเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา โดยรวบรวมเมืองต่างๆ ในเขตแคว้นโยนและเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา ได้แล้วก็ตาม แต่เข้าใจว่าในเขตแคว้นโยน อาณาจักรล้านนายังมิได้มีอำนาจเหนือเมืองต่าง ๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยเฉพาะภูกามยาวที่ยังมิได้รวมเข้ากับล้านนาอย่างแท้จริง มีฐานะเป็นเพียงพันธมิตรและในสมัยพระญาไชยสงคราม มีฐานะเป็นเครือญาติ โดยการแต่งงานระหว่างพระญาคำแดง เจ้าเมืองภูกามยาวกับนางแก้วพอตา พระธิดาของพระญาไชยสงคราม สมัยพระญาคำฟูพระองค์สร้างพันธมิตรกับเมืองน่านร่วมมือกันยกทัพเข้าไปโจมตีภูกามยาว และหลังจากนั้นเป็นต้นมาผู้ปกครองที่ ขึ้นครองเมืองพะเยาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์ที่เชียงใหม่ (หอวชิรญาณ บัญชีหนังสือจ้างแปล แฟ้มที่ ๑๔ เลขที่ ๔๓ พงศาวดารเมืองพะเยา: ๕๖) และมักจะถูกส่งมาจากเชียงใหม่เสมอ (ประชุมจารึกเมืองพะเยา ๒๕๓๘: ๕๘-๖๗)
             ๒.การขยายเขตแดนของอาณาจักรไปจดแม่น้ำโขง ด้วยการตั้งเมืองเชียงแสนออกไปประชิดแม่น้ำโขงและใช้แม่น้ำโขงเป็นคูเมืองธรรมชาติ ฉะนั้นบทบาทสำคัญของเชียงแสนคือ เป็นเมืองหน้าด่านในการรับศึกตอนบน และเป็นศูนย์กลางตอนบนในการรับสินค้าจากทางตอนเหนือของพม่า และทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเป็นแหล่งสินค้าสำคัญ เช่น อัญมณี ทองเหลือง และชะมดเช็ด เป็นต้น การสร้างอำนาจประชิดแม่น้ำโขงอีกวิธีการหนึ่งคือ การสร้างพันธมิตรกับเมืองเชียงของด้วยการแต่งงานระหว่างพระญาผายู โอรส ของพระญาคำฟูกับพระนางจิตราเทวีพระธิดาเจ้าเมืองเชียงของซึ่งมีพระโอรสคือพระญากือนา ผู้ปกครองอาณาจักรล้านนาลำดับที่ ๖ และพระญากือนาเองก็แต่งงานกับหลานของเจ้าเมืองเชียงของเช่นกัน ความสำคัญของเชียงของคือเป็นเมืองหน้าด่านรับสินค้าทางฝั่งหลวงพระบาง ซึ่งสินค้าที่ทำรายได้ที่มาจากหลวงพระบางเช่นครั่ง และกำยาน เป็นต้นในสมัยรัชกาลพระญาผายูโอรสของพระญาคำฟู ได้ทรงย้ายที่ประทับกลับลงมาที่เชียงใหม่ตามเดิม ผู้ปกครองเชียงใหม่พระองค์ต่อมาได้ดำเนินนโยบายในการสร้างเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางที่เข้มแข็ง และเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรในทุกๆ ด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และศูนย์กลางของแนวความคิด เป็นต้น
กู่บรรจุอัฐิพระญาคำฟู วัดพระสิงห์วรวิหาร จ.เชียงใหม่



 ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก

-http://www.bloggang.com (วัดพระสิงห์วรวิหาร ถ.สิงหราช อ.เมือง จ.เชียงใหม่)
-http://aortai.multiply.com (ประวัติศาสตร์ล้านนา: aortai)
-http://www.baanjomyut.com (จังหวัดพะเยา:ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา:บ้านจอมยุทธ)
-http://gist.soc.cmu.ac.th (โครงการโบราณคดีภาคเหนือเฉลิมพระเกียรติ:จากยุคน้ำแข็งไพลสโตซีนสู่สมัยล้านนา บทที่หนึ่ง บทนำ:อุษณีย์  ธงไชย)
-http://www.baanmaha.com (ที่มาอาณาจักรเมืองเชียงแสน:บ้านมหาดอทคอม:ญา  ทิวาราช)
-http://travel.upyim.com (วัดพระสิงห์วรวิหาร)
-http://www.sanyasi.org (ตำนานเมืองเชียงแสน:สันยาสี)


วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พระญาแสนภู ธรรมกษัตริย์ผู้รักสันติสุข

พระราชานุสาวรีย์พระญาแสนภู จ.เชียงราย


          พระญาแสนภู ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์มังรายลำดับที่ ๓ ทรงเป็นราชบุตรองค์แรกของพระญาไชยสงคราม เหตุที่ชื่อแสนภู เพราะเกิดบนภูดอยทรงพระประสูติ ณ เวียงหิรัฐนครเงินยาในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ มีพี่น้องร่วมพระราชบิดาและพระราชมารดาเดียวกัน  พระองค์  คือ เจ้าแสนภู  เจ้าน้ำท่วม  และเจ้าน้ำน่าน(ท้าวงั่ว)  ในขณะทรงพระเยาว์  ได้ติดตามพระราชบิดาไปพำนักที่เมืองเชียงราย

          ในปีจศ.๖๔๙ หรือ พ.ศ.๑๘๓๐ ในขณะที่พระญามังรายครองเวียงกุ๋มก๋วมหรือกุมกาม พระญามังคามครองเมืองเชียงราย  ปล่อยให้เวียงเงินยางว่างเว้นเจ้าเมืองปกครอง  พระญามังรายจึงมีบัญชาให้เจ้าแสนภูกลับไปฟื้นฟูเมืองเงินยางให้เหมือนเดิม  ดังนั้นพระญาแสนภูจึงได้นำครอบครัวเสนาอำมาตย์  ประชาราษฎร  ลงเรือเสด็จล่องตามลำแม่น้ำกกจากเมืองเชียงรายสู่เมืองเงินยางในปี  พ.ศ. ๑๘๓๐วันอังคาร  เดือน   ออก  ๕ ค่ำ  หรือประมาณเดือนธันวาคม  เป็นเวลา   วัน  จึงออกสู่แม่น้ำโขงและแวะพักที่เวียงปรึกษา  (เชียงแสนน้อย) เดือน   ออก ๑๓ ค่ำ  จึงได้เสด็จสู่เมืองเงินยาง



         พ.ศ. ๑๘๓๑  พระองค์ได้นำอาณาประชาราษฎร  ขุดคูก่อสร้างกำแพงเมืองตามแนวคันหินเดิม
         พ.ศ. ๑๘๓๓   ได้สร้างวัดเจดีย์หลวงทับวัดเดิม   คือ วัดหลวง
         พ.ศ. ๑๘๓๘  ได้สร้างวัดป่าสักไว้นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตก

การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
          เมื่อครั้งที่ พระญาไชยสงคราม พระราชโอรสในพระญามังรายมหาราชได้ทรงครองราชย์สมบัติเพียง ๔ เดือนเท่านั้นก็ทรงจัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้วทรงมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าแสนภู พระราชโอรสปกครองเมืองเชียงใหม่แล้ว ทรงโปรดเกล้าให้เจ้าท้าวน้ำท่วม ราชบุตรองค์กลางให้ไปครองเมืองฝาง ส่วนท้าวงั่วหรือท้าวน้ำน่านราชบุตรองค์เล็กโปรดให้ไปครองเมืองเชียงของ ส่วนพระองค์เองกลับเสด็จไปปกครองเมืองเชียงรายดังเก่า  ต่อมาเจ้าขุนเครือพระอนุชาในพระญาไชยสงครามซึ่งทรงปกครองเมืองนายอยู่นั้น ครั้นได้ทราบข่าวว่าพระราชบิดาสวรรคต และพระญาไชยสงครามพระเชษฐาธิราชทรงยกเมืองเชียงใหม่ให้พระราชนัดดาคือเจ้าแสนภูทรงปกครอง ก็มิทรงพอพระทัยเจ้าขุนเครือจึงทรงจัดแต่งรี้พลชาวไทยใหญ่ของพระองค์เตรียมจะยกมาชิงราชสมบัติ  เจ้าขุนเครือ ทรงยกพลมาถึงเวียงกุมกาม พักพลอยู่ ณ ทุ่งข้าวสาร ก็ทรงจัดทำเครื่องบรรณาการของฝากส่งไปถึงเจ้าแสนภูและสั่งบอกไปว่าพระองค์ทรงมาถวายพระศพพระญามังรายมหาราชผู้ทรงเป็นพระราชบิดาในพระองค์  จากนั้นเจ้าขุนเครือก็ทรงแต่งไพร่พลโดยพระองค์เองแต่งเครื่องทรงอย่างจะออกศึกไปดักที่ประตูเชียงใหม่ และอีกพวกหนึ่งดักอยู่ที่ประตูสวนดอก เพื่อคอยจับกุมตัวเจ้าแสนภูไปเป็นประกันเพื่อชิงราชสมบัติ  เจ้าแสนภูในขณะนั้นทรงมีพระชนม์ได้ ๔๑ พรรษา ทรงทราบว่า เจ้าขุนเครือ เจ้าอาของพระองค์นั้นมุ่งประสงค์จะช่วงชิงราชสมบัติเพื่อครองเมืองนครพิงค์ที่พระองค์ครองอยู่  เจ้าแสนภูจึงทรงจัดแจงอพยพพระราชวงศ์เสด็จหนีออกทางประตูหัวเวียงไปทางเวียงเชียงโฉมในเวลาเที่ยงคืน เนื่องจากทรงไม่มีพระราชประสงค์ที่จะสู้รบกับเจ้าอาผู้มีสายพระโลหิตเดียวกันและมิทรงอยากให้ผู้คนล้มตาย  พระองค์จึงได้เสด็จเลยไปหาเจ้าท้าวน้ำท่วมผู้เป็นพระอนุชาไปยังเมืองฝางแจ้งเหตุการณ์ให้ทราบตามที่เป็นจริงแล้วต่อจากนั้นก็เสด็จเลยไปถึงเมืองเชียงรายเข้าเฝ้าพระราชบิดาก็คือพระญาไชยสงครามเพื่อทูลแจ้งให้ทรงทราบ ส่วนฝ่ายเจ้าขุนเครือก็ทรงขึ้นครองนครพิงค์ตามที่ตั้งพระทัยไว้แต่แรก ต่อมาพระญาไชยสงครามพระราชบิดาในเจ้าแสนภูทรงทราบเรื่องก็ทรงพิโรธ ที่ถูกพระอนุชากระทำให้เสียน้ำพระทัย พระญาไชยสงครามก็ได้แต่งพลโยธาแล้วสั่งให้เจ้าท้าวน้ำท่วมผู้ครองเมืองฝางยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่คืน เป็นวันอังคารแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ เวลาใกล้รุ่ง กองทัพของเจ้าท้าวน้ำท่วมก็มาพักอยู่ที่ตำบลทุ่งแสนตอ พอได้เวลาสมควรท้าวน้ำท่วมผู้เป็นแม่ทัพก็ทรงแต่งกลศึกอันมีชื่อว่า กลราชปัญญา คือแต่งกลให้คนเอาเครื่องศึกซ่อนในหาบ หาบไปเหมือนดังจักไปเข้าเวรรั้งเมือง คนหาบเหล่านี้มีหลายคนต่างก็แยกย้ายเข้าประจำอยู่ทุกประตูเมือง ครั้นแล้วก็ทรงแต่งพลศึกยกเรียงรายกันเข้าตั้งล้อมเมืองเอาไว้ดุจจะเข้าตีในทันทีทันใด ชาวนครทั้งหลายก็ถูกเกณฑ์ให้เข้าประจำรักษาประตูต่างๆตามหน้าที่  ครั้นถึงเวลาได้ฤกษ์งามยามดี เจ้าท้าวน้ำท่วมกับทหารร่วมใจก็ลอบยกเข้าไปถึงประตูเมือง  คนที่ล้อมตัวเป็นผู้รักษาประตูก็เปิดรับ เจ้าท้าวน้ำท่วมเข้าเมืองได้ในคืนนั้นสั่งไพร่พลให้จุดไฟขึ้น กองทัพที่ล้อมเมืองก็โห่ร้องตีฆ้องกลองขึ้นอีกกะทึกแล้วกรูกันเข้าเมืองพร้อมกับยิงปืนสนั่นหวั่นไหว ผู้คนแตกตื่นกันชุลมุนไปหมด  เจ้าขุนเครือนั้นเสพสุราเมานอนหลับอยู่ เพราะไม่คิดว่าจะมีผู้ยกทัพมาตีเอาเมืองง่ายๆ เจ้าท้าวน้ำท่วมสั่งให้ทหารจับกุมตัวเจ้าขุนเครือทันที ครั้นแล้วก็สั่งให้นำไปขังไว้ที่มุมเมืองด้านตะวันตกเฉียงใต้แต่เป็นนอกเวียงชื่อว่า แจ่งกู่เฮือง ให้หมื่นเรืองเป็นผู้ควบคุมรักษามิให้หลบหนีไปได้ ตำบลที่เจ้าท้าวน้ำท่วมใช้เป็นที่คุมขังเจ้าขุนเครือผู้เป็นเจ้าอานี้ ภายหลังได้ชื่อว่า ตำบลขวงเชียงเรือง สืบต่อมาเจ้าท้าวน้ำท่วมกับไพร่พลโยธา ตีได้เมืองเชียงใหม่และจับได้ตัวเจ้าขุนเครือไปขังไว้แล้ว ก็ได้ปราบปรามทหารของเจ้าขุนเครือซึ่งเป็นเงี้ยวมาจากเมืองนายล้มตายจำนวนมาก เมื่อเจ้าท้าวน้ำท่วมตีได้เมืองแล้วก็จัดการพลเมืองอยู่ในปกติ แล้วก็ทรงส่งข่าวให้พระราชบิดาที่เมืองเชียงรายทราบ พระญาไชยสงครามได้ทราบข่าวก็ทรงดีพระทัยและทรงรีบกลับเมืองเชียงใหม่ในทันทีอีกทั้งยังทรงจัดการปราบดาภิเษกเจ้าท้าวน้ำท่วมให้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่แต่นั้นมา ในขณะที่เจ้าท้าวน้ำท่วมทรงมีพระชนม์ได้ ๓๐ พรรษาแต่มีความสามารถปราบศัตรูได้สำเร็จ แต่ทรงครองราชย์ได้ ๒ ปีพระญาไชยสงครามพระราชบิดาเกิดระแวงว่าจะเป็นกบฏจึงได้มอบอำนาจให้ท้าวงั่วผู้เป็นอนุชาไปคุมตัวท้าวน้ำท่วมส่งไปปกครองเมืองเขมรัฐเชียงตุง พวกเขินชาวเมืองเขมรัฐก็เลยราชาภิเษกท้าวน้ำท่วมเป็นเจ้าผู้ครองเขมรัฐโชติตุงคบุรีในปีนั้น เจ้าขุนเครือถูกขังอยู่ ๔ ปีก็สิ้นพระชนม์ในที่คุมขัง พระญาไชยสงครามจึงทรงยกให้เจ้าแสนภูขึ้นครองเมืองเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง 
          เมื่อพระญาแสนภูเสวยราชย์เป็นกษัตริย์ล้านนา ในปี พ.ศ.๑๘๖๘ พระองค์เสด็จไปประทับที่เมืองเชียงรายโดยแต่งตั้งให้ท้าวคำฟู โอรสครองเมืองเชียงใหม่ ต่อมาราว พ.ศ. ๑๘๗๗ พระญาแสนภูโปรดให้สร้างเมืองเชียงแสนขึ้นในบริเวณเมืองเงินยาง (เมืองรอย ก็ว่า) ครั้นสร้างเมืองเชียงแสนแล้ว พระญาแสนภูก็ประทับอยู่ที่เชียงแสนตลอดพระชนม์ชีพ การสร้างเมืองเชียงแสนขึ้นนั้น ก็เพื่อป้องกันข้าศึกด้านเหนือ เพราะเชียงแสนตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและสามารถใช้แม่น้ำโขงเป็นคูเมืองตามธรรมชาติได้ ตัวเมืองมีกำแพงกว้าง ๗๐๐ วา ยาว ๑๕๐๐ วา มีป้อมรายล้อมเมือง ๘ แห่ง


เมืองเชียงแสนมีอาณาเขตติดต่อกับเมืองต่างๆ คือ เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองสาด เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ่ง และเมืองเชียงของ เชียงแสนจึงเป็นศูนย์กลางของเมืองตอนบน โดยมีหน้าที่ควบคุมหัวเมืองต่างๆ ที่รายล้อมดังกล่าวอีกด้วย 



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
-http://www.chiangmai.smileplaza.net (กษัตริย์ในราชวงศ์มังรายที่มีบทบาทสำคัญ:พญาแสนภู)
-http://www.thamnaai.com (พญาแสนภู:เรื่องโดย บรามี)
-หนังสือเล่าเรื่องเมืองเหนือว่าด้วยประวัติบุคคลสำคัญเรียบเรียงโดย อสิธารา
-http://phrachiangsan.com (ข่าวสารอัพเดทโดยมูลนิธิพระเชียงแสนสี่แผ่นดิน จ.เชียงราย:การสร้างอนุสาวรีย์พญาแสนภู ผู้สร้างเมืองเชียงแสน มูลค่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พระญาไชยสงคราม กษัตริย์นักรบแห่งล้านนานคร

ตามประวัติกล่าวว่าพระญาไชยสงคราม ราชโอรสพระญามังราย เมื่อได้มอบราชสมบัติให้พระญาแสนภูราชโอรสให้ขึ้นครองนครเชียงใหม่แล้ว พระองค์ได้นำอัฐิพระราชบิดามาประทับอยู่ที่เมืองเชียงราย และได้โปรดเกล้าฯ สร้างกู่บรรจุอัฐิของพระราชบิดาไว้ ณ ดอยงำเมืองแห่งนี้ เพื่อเป็นการรำลึกและให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าสักการะกู่พระญามังราย ตั้งอยู่หน้าวัดงำเมือง บนดอยงำเมือง เดินทางโดยใช้เส้นทางจากวัดพระแก้วเลี้ยวขวาที่สี่แยกเข้าถนนเรืองนคร จากนั้นตรงไปประมาณ ๕๐๐ เมตร จะไปบรรจบถนนงำเมือง เป็นสามแยกศูนย์คมนาคม จากนั้นเลี้ยวขวาตรงไปอีกประมาณ ๓๐๐ เมตร
                         



                พระญาไชยสงคราม กษัตริย์ในราชวงค์มังราย ลำดับที่ ๒ (พ.ศ.๑๘๕๔-๑๘๖๘) ทรงเป็นพระราชโอรสของพระญามังรายมหาราชได้เสวยราชย์สืบสันตติวงศ์เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรล้านนา สืบต่อจากพระญามังรายมหาราช ในปีพุทธศักราช ๑๘๖๐ ขณะขึ้นเสวยราชย์พระองค์มีพระชนมายุได้ ๕๕ ปี พระญาไชยสงครามนับเป็นปิยราชโอรส เพราะทรงเป็นเสมือนพระพาหาเบื้องขวาของพระญามังรายมหาราชพระราชบิดา ในการสถาปนาอาณาจักรล้านนาขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พระองค์ทรงเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถ หลังจากที่ทรงมีชัยชนะต่อพระญาเบิก เจ้าผู้ครองนครหริภุญชัย ในการยุทธครั้งใหญ่เมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๓๙ แล้วพระราชบิดาก็สถาปนาให้เป็นมหาอุปราช เป็นที่เจ้าพระญาไชยสงคราม และโปรดประทานเมืองเชียงดาวให้เป็นบำเหน็จรางวัลอีกด้วย

พระญาไชยสงครามมีพระมเหสีหลายองค์ และทรงมีพระราชบุตร ๓ พระองค์ คือ เจ้าท้าวแสนภู เจ้าท้าวน้ำท่วม เจ้าท้าวงั่ว พระราชบุตรทั้งสามนี้เมื่อทรงจำเริญวัยขึ้นแล้ว พระบิดาได้ส่งเข้ามาเล่าเรียนศึกษาศิลปะวิทยาการและราชประเพณีในราชสำนักของพระญามังรายผู้เป็นพระอัยกา ซึ่งพระญามังรายก็ทรงมีพระกรุณาแก่พระนัดดาทั้งสามเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อพระญาไชยสงครามได้ขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว ก็ทรงจัดการบ้านเมืองในเมืองเชียงใหม่ได้ ๔ เดือน พระองค์ไม่โปรดที่จะประทับอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่ จึงได้สถาปนาให้เจ้าท้าวแสนภูพระราชบุตรองค์โตขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ ในยุคนี้เมืองเชียงใหม่ได้ลดฐานะเป็นเพียงเมืองลูกหลวง พระญาไชยสงครามองค์พระประมุขทรงย้ายราชธานีไปอยู่ที่เมืองเชียงราย และทรงแต่งตั้งให้เจ้าท้าวน้ำท่วมพระราชบุตรองค์กลางไปครองเมืองฝาง ให้พระราชบุตรองค์เล็กคือเจ้าท้าวงั่วไปครองเมืองเชียงของ

ฝ่ายเจ้าท้าวแสนภูได้ครองเมืองเชียงใหม่ได้ ๑ ปี เจ้าขุนเครือพระอนุชาของพระญาไชยสงครามซึ่งครองเมืองนายอยู่นั้น ได้ทราบว่าพระราชบิดาสวรรคตแล้ว การที่เจ้าขุนเครือทรงทราบข่าวช้าก็เพราะพระญาไชยสงครามพระเชษฐาธิราชไม่โปรดในพระอนุชาองค์นี้ เพราะทรงก่อเรื่องร้ายแรงไว้หลายประการ เช่นลอบทำชู้กับมเหสีของพระญาไชยสงคราม พระเชษฐาธิราชซึ่งยังความกริ้วให้แก่พระองค์เป็นอันมาก จึงไม่ยอมแจ้งข่าวให้พระอนุชาทรงทราบ ถึงการสวรรคตของพระราชบิดา

และเมื่อเจ้าขุนเครือทรงทราบก็ทรงดำริที่จะยกไพล่พลชาวไทยใหญ่มาตั้งทัพอยู่ที่ตำบลทุ่งข้าวสาร ทำทีประหนึ่งจะเข้ามาทำการเคารพพระราชบิศพ เมื่อตั้งทัพแล้วเจ้าขุนเครือก็ยกเข้ามายังตลาดเมืองเชียงใหม่ แล้วแต่งราชสาส์นให้คนสนิทถือไปถวายเจ้าท้าวแสนภูพระนัดดา พร้อมด้วยเครื่องบรรณาการ ในราชสาส์นนั้นแจ้งว่า เราเจ้าขุนเครือผู้เป็นอาขอทูลมายังเจ้าแสนภูผู้เป็นหลาน ด้วยอาได้ทราบข่าวว่าพระราชบิดา ซึ่งเป็นพระอัยกาของหลานได้เสด็จสวรรคตล่วงลีบไปแล้ว ด้วยความกตัญญูกตเวทีธรรม อาก็ใคร่เข้ามากราบบังคมเคารพพระบรมศพ ขณะนี้อาได้มาตั้งพักอยู่ที่ตลาดเมืองเชียงใหม่ ขอเจ้าผู้เป็นหลานอย่าได้มีความสงสัยในตัวอาแต่ประการใด และอาก็มิได้มีเจตนาร้ายอะไร นอกจากจะมาเคารพพระศพเท่านั้น

ข้างฝ่ายเจ้าท้าวแสนภูนั้น เมื่อทรงทราบว่าเจ้าขุนเครือผู้อาได้ยกกองทัพเข้ามา ก็ให้จัดแต่งการป้องกันบ้านเมืองไว้อย่างแข็งแรง ฝ่ายเจ้าขุนเครือเมื่อส่งราชสาส์นถึงเจ้าแสนภูแล้ว ก็ถอยทัพไปตั้งอยู่ที่ประตูเชียงใหม่และประตูสวนดอก (เวลานั้น ตลาดอยู่ข้างวัดพระสิงห์ปัจจุบัน) เจ้าขุนเครือตั้งทัพคอยทีอยู่ จะเข้าจับกุมเอาตัวเจ้าแสนภูผู้หลานในขณะที่เจ้าแสนภูออกไปชมตลาดในตอนเช้า

ฝ่ายเจ้าแสนภูนั้น หาได้มีความประมาทไม่ พระองค์ทรงดำริว่าแม้ตัวเราจะยกกองทัพออกสู้รบกับกองทัพเจ้าขุนเครือผู้อาก็ย่อมทำได้ แต่อาจพลาดพลั้งลงไปเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตด้วยน้ำมือทหารหาเป็นการสมควรไม่ เมื่อเป็นดังนี้สมควรที่พระองค์จะเสด็จหลบหนีออกจากเมืองเชียงใหม่เสียก่อน จึงจะไม่เป็นเวรานุเวรสืบต่อไป เมื่อทรงดำริเช่นนั้นแล้วก็ทรงอพยพครัวหนีออกจากเชียงใหม่ไปทางประตูหัวเวียง คือ ประตูช้างเผือก เวลานั้นยังไม่เรียกว่าประตูช้างเผือก ชื่อประตูช้างเผือกนี้เพิ่งมาเรียกในสมัยหลังในรัชกาลของพระญาแสนเมืองมา

เจ้าแสนภูพาครอบครัวหนีไปหาเจ้าท้าวน้ำท่วมอนุชาซึ่งครองเมืองฝาง พ่อท้าวน้ำท่วมก็จัดแต่งผู้คนออกไปส่งเจ้าแสนภูเชษฐาและครอบครัวถึงเมืองเชียงราย เจ้าแสนภูจึงนำความกราบบังคมทูลพระญาไชยสงครามพระราชบิดาให้ทรงทราบทุกประการ พระญาไชยสงครามทรงทราบดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธพระอนุชาเป็นอันมาก ทรงมีพระราชดำรัสต่อหน้าบรรดามุขมนตรีทั้งหลายว่า ขุนเครือนี้ได้กระทำความผิดอย่างร้ายแรงถึง ๓ ประการ ประการที่ ๑ ได้ลอบทำมิจฉาจารต่อภริยาของกูที่เมืองเชียงดาว ประการที่ ๒ แย่งชิงเอาเมืองเชียงดาวที่พระราชบิดาประทานให้แก่กู ประการที่ ๓ บังอาจยกไพร่พลมาแย่งชิงเมืองเชียงใหม่จากลูกของกูอีก ฉะนั้นกูจะยกไปปราบมันเสียให้จงได้

ทรงมีพระราชดำรัสดังนั้นแล้ว ก็โปรดให้จัดแต่งกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ในเดือน ๗ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีวอก ตรงกับพุทธศักราช ๑๘๖๒ โปรดให้เจ้าท้าวน้ำท่วมราชบุตรองค์ที่ ๒ เป็นทัพหน้ายกไปยังเมืองเชียงใหม่ก่อน เจ้าท้าวน้ำท่วมยกไปถึงเมืองเชียงใหม่ในวันอังคารเดือน ๗ แรม ๑๓ ค่ำ เวลาใกล้รุ่ง ให้ตั้งทัพอยู่ที่ตำบลทุ่งแสนตอ เจ้าท้าวน้ำท่วมจึงจัดแต่งกลศึกอันมีชื่อว่าราชปัญญา คือแต่งคนเอาเครื่องศึกใส่หาบดังประหนึ่งมาเข้าเวรรั้งเมือง ดังที่เคยปฏิบัติมาแต่กาลก่อน

พวกไพร่พลที่ปลอมตัวไปนั้น ก็เข้าไปประจำอยู่ทุกประตูเมือง แล้วพระองค์จัดแต่งทหารอีกกองหนึ่ง ยกเรียงรายกันล้อมตัวเมือง เพื่อให้พวกชาวเมืองเป็นกังวลรักษาหน้าที่ ครั้นได้ยามดี เจ้าท้าวน้ำท่วมกับทหารร่วมพระทัยก็ลอบยกเข้าไปถึงประตูเมือง ไพร่พลที่ปลอมเข้าไปเป็นคนรักษาประตูก็เปิดประตูเมือง ออกรับกองทัพของเจ้าท้าวน้ำท่วมเข้าเมืองได้ แล้วไพร่พลทั้งหลายก็พากันโห่ร้องยิงปืนตีฆ้องกลองอย่างสนั่นหวั่นไหว ชาวเมืองทั้งหลายของเจ้าท้าวน้ำท่วม ไล่ฟันไพร่พลของเจ้าขุนเครือล้มตายลงเป็นอันมาก

ข้างฝ่ายเจ้าขุนเครือนั้น เสพสุรามึนเมานอนหลับอยู่ในหอคำ นายประตูที่เฝ้ารั้งคุ้มหลวงอยู่ เห็นไพร่พลของเจ้าท้าวน้ำท่วมบุกเข้ามาเช่นนั้นก็รีบเข้าไปปลุกร้องว่า กองทัพเจ้าท้าวน้ำท่วมผู้หลานเจ้า ตนครองเมืองฝางนั้น ยกเข้าเมืองได้แล้ว และกำลังยกเข้ามายังคุ้มหลวง ขอเจ้าเร่งรีบหนีเอาตัวรอดเถิดแล้วนายประตูก็รีบหนีเอาตัวรอดไป ฝ่ายเจ้าขุนเครือได้ยินดังนั้น ก็มีความตกพระทัยเป็นอันมาก รีบลุกขึ้นจากที่บรรทมวิ่งไปตีกลองสัญญาณเรียกไพร่พล แต่หามีผู้ใดมาไม่ เพราะต่างก็ตื่นหนีศึกไปก่อนแล้ว เจ้าขุนเครือเลยตกตะลึงยืนพะว้าพะวังอยู่ที่นั้นเอง ไพร่พลของเจ้าท้าวน้ำท่วมเข้าไปถึงก็เลยจับกุมเอาตัวเจ้าขุนเครือได้ และนำไปถวายเจ้าท้าวน้ำท่วม เจ้าท้าวน้ำท่วมจึงให้เอาตัวไว้เพื่อรอให้พระญาไชยสงครามพระราบิดาทรงพิจารณาโทษด้วยพระองค์เอง

เมื่อเจ้าท้าวน้ำท่วมจัดการบ้านเมืองจนเข้าสู่ความสงบเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งข่าวสาส์นไปกราบทูลให้พระราชบิดา ณ เมืองเชียงรายให้ทรงทราบ พระญาไชยสงครามทรงมีพระทัยโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงตรัสชมเชยพระราชบุตรองค์ที่ ๒ ว่าแกล้วกล้าในการสงคราม สมควรที่จะได้ครองเมืองเชียงใหม่แทนเจ้าแสนภูต่อไป ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงยกพหลพลเสนาตรงไปยังเมืองเชียงใหม่ โปรดให้ทำพิธีปราบดาภิเษกให้เจ้าท้าวน้ำท่วมเป็นพระญาครองเมืองเชียงใหม่

เมื่อเจ้าท้าวน้ำท่วมได้ครองบัลลังก์เมืองเชียงใหม่ ทรงมีพระชนมายุได้ ๓๐ ชันษา ปีที่ขึ้นครองเมืองเชียงใหม่นั้นตรงกับปี พ.ศ. ๑๘๖๕ ส่วนเจ้าขุนเครืออนุชานั้น ทรงมีพระเมตตาอยู่ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์เดียวกัน และเป็นอนุชาองค์เดียวเท่านั้น จึงไม่ลงพระอาญาฆ่าฟัน เพียงแต่ให้จำขังไว้ ณ ที่มุมเมืองทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ และให้หมื่นเรืองเป็นผู้ดูแล เจ้าขุนเครือถูกคุมขังอยู่ได้ ๔ ปีก็พิราลัย และมุมเมืองทางด้านนั้น ส่วนหมื่นเรืองผู้ดูแลนั้น เมื่อถึงแก่กรรมลงก็สร้างกู่ที่บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่นั้น มุมเมืองด้านนั้นเลยเรียกว่าแจ่งกู่เรือง ตามนามของหมื่นเรืองนั้นเอง (คำว่า แจ่งกู่เรือง เมืองเหนือออกเสียงเป็น แจ่งกู่เฮือง)

เจ้าท้าวน้ำท่วมครองเมืองเชียงใหม่ได้ ๒ ปี ลุปี พ.ศ. ๑๘๖๗ มีผู้ไปกราบทูลพระญาไชยสงครามว่า เจ้าท้าวน้ำท่วมจะคิดกบฏ พระญาไชยสงครามทรงมีความระแวง จึงโปรดให้เจ้าท้าวงั่วราชบุตรองค์เล็กมาคุมตัวเจ้าท้าวน้ำท่วมไปยังเมืองเชียงราย ทรงไต่สวนทวนความดูก็ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าพระราชบุตรองค์ที่ ๒ จะคิดทรยศจริงดังคำกราบทูลนั้น จึงโปรดให้ไปครองเมืองเชียงตุง และโปรดให้อภิเษกเจ้าแสนภูราชบุตรองค์โตเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่ ๒ ครั้นเสร็จจากพิธีอภิเษกเจ้าแสนภูแล้ว ก็เสด็จกลับคืนไปยังเมืองเชียงราย สถิตสำราญอยู่ได้ ๒ ปี ก็ทรงพระประชวรสวรรคต สิริรวมพระชนมายุได้ ๗๒ ชันษา เจ้าแสนภูราชบุตรองค์โตได้เถลิงราชสมบัติสืบต่อมา และได้ทรงไปบูรณะเมืองเชียงแสนซึ่งเป็นเมืองร้างอยู่นั้น แล้วย้ายราชธานีไปอยู่ที่เมืองเชียงแสนตลอดรัชกาลของพระองค์

วัดพระธาตุเจดีย์หลวง อำเภอเชียงแสน สร้างโดยพระญาแสนภู พระราชนัดดาของพระญามังรายมหาราช หลังจากนั้นพระญาแสนภูได้เสด็จไปครองเมืองเชียงใหม่แทนพระราชบิดา คือ พระญาไชยสงครามซึ่งเสด็จมาประทับยังเมืองเชียงราย พร้อมทั้งนำอัฐของพระราชบิดา คือพระญามังรายมหาราชที่เสด็จสวรรคตที่เชียงใหม่กลับมายังเมืองเชียงราย


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก