วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พญาผานอง วีรบุรุษยอดนักรบแห่งวรนครน่าน


อนุสาวรีย์ พญาผานอง  อำเภอปัว จังหวัดน่าน

พญาผากอง หรือพญาผานอง เป็นโอรสของเจ้าเก้าเกื่อนหรือปู่ฟ้าฟื้น เดิมชื่อขุนใสหรือขุนใส่ยศ สืบเชื้อสายมาจากพญาภูคา เจ้าเมืองภูคา ขุนฟอง ปู่ของพญาผานองแยกมาตั้งเมืองพลัวหรือเมืองปัวครองราชย์ พ.ศ. ๑๘๖๓-๑๘๙๒ เมื่อสวรรคตแล้ว โอรสสององค์คือเจ้าไสและเจ้ากานเมืองได้ครองราชย์ต่อมา เจ้ากานเมืองมีโอรสชื่อพญาผากอง ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๐๔-๑๙๒๙พญาผากองนี้เป็นผู้สร้างเมืองน่านที่เวียงกุม บ้านห้วยไคร้ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๙ เชื้อสายของพญาผากองได้ครองเมืองน่านจนถึงเจ้าผาแสงเป็นองค์สุดท้าย ก่อนที่ทางเชียงใหม่ จะส่งคนมาปกครองเมืองน่านโดยตรง
ตามตำนานเมืองเหนือ และพงศาวดารโยนก บันทึกไว้ว่า
                พระยาภูคา เป็นกษัตริย์ครองเมืองยาง(หรือเมืองภูคา) ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘   วันหนึ่งพรานป่าคนหนึ่งไปล่าเนื้อบนภูคา  ได้พบไข่ปลาขนาดเท่าผลมะพร้าว  วางอยู่ใต้ต้นไม้ 2 ฟอง  จึงนำมาถวายพระยาภูคา   พระองค์เห็นเป็นของประหลาด ก็เอาไข่ฟองหนึ่งใส่ไว้ในกะทองิ้ว(นุ่น)  อีกฟองหนึ่งใส่ไว้ในกะทอฝ้าย   อยู่มาไม่นานไข่ที่ใส่ไว้ในกะทอนุ่นก็แตกออกก่อน ปรากฏเป็นทารกรูปงาม  พระยาภูคาจึงเลี้ยงไว้   ต่อมาอีก 2 ปี ไข่ในกะทอฝ้ายก็แตกออกมาอีก  เป็นทารกรูปร่างงดงามเช้นกัน  พระยาภูคาจึงตั้งชื่อทารกคนแรกว่า “เจ้าขุนนุ่น”    ส่วนองค์ที่กำเนิดในกะทอฝ้ายตั้งนามว่า “เจ้าขุนฟอง”  จึงเลี้ยงทารกทั้งสองไว้เป็นราชบุตรบุญธรรม
                วันเวลาผ่านไป ทารกทั้งสองก็เติบโตเป็นหนุ่ม  เจ้าขุนนุ่นผู้พี่มีอายุย่างเข้า ๑๘ ปี  เจ้าขุนฟอง ๑๖ ปี  พระยาภูคาจึงให้ราชบุตรบุญธรรมทั้งสององค์ไปตามหาเถรแตงซึ่งเป็นฤาษีหรือชีผ้าขาวผู้มีฤทธิ์  เพื่อขอให้เถรแตงสร้างเมืองให้เจ้าสองพี่น้อง  เถรแตงจึงนำสองพี่น้องไปดูทำเลที่จะสร้างเมือง  จึงได้สร้างเมืองขึ้น ณ บริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง  ให้ชื่อว่า เมืองจันทรบุรี(เวียงจันทร์) แล้วให้เจ้าขุนนุ่นผู้พี่ครองเวียงจันทร์  จากนั้นเถรแตงจึงสร้างเมืองห่างจากแม่น้ำน่าน ๕,๐๐๐ วา  ตั้งชื่อเมืองว่า “วรนคร”  (คือเมืองปัว) แล้วให้เจ้าขุนฟองผู้น้องครองเมือง
                     ตำนานเมืองเหนือหลายเมือง  เมื่อจะกล่าวถึงการสร้างเมือง  มักยกให้ฤาษีเป็นผู้สร้าง   คำว่าฤาษี หมายถึงชีผ้าขาว ผู้อยู่ตามถ้ำตามป่าเขา  มีผู้คนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง  จึงเป็นผู้มีบารมีในการชักชวนชาวบ้านชาวเมืองให้ช่วยกันถางป่าสร้างบ้านแปงเมือง   มาในยุคหลังก็มีครูบาศรีวิชัยเป็นตัวอย่างที่สามารถแลไปเทียบกับอดีตได้  ก็สมัยโบราณนั้น  พระสงฆ์ยังไม่มีอิทธิพลในสังคมมากนัก  ชีผ้าขาวหรือฤาษีจึงได้รับการยอมรับนับถืออย่างสูงจากสังคมยุคนั้น  ท่านจึงเป็นผู้นำทางจิตใจ  เป็นผู้ประสานประโยชน์ในสังคม ระหว่างคนชั้นสูงคือผู้ครองเมือง กับคนชั้นล่างคือชาวบ้านชาวเมือง   ตำนานการสร้างเมืองหริภุญชัย  เมืองเขลางค์นคร ก็มีฤาษีเป็นผู้สร้างให้เจ้าชาย   ในตำนานของพ่อขุนงำเมืองก็ไปเรียนวิชากับพระฤาษีที่เขาสมอคอน เมืองพิจิต พร้อมกับพระร่วงเจ้า  และเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลยุคนั้นก็สร้างขึ้นโดยฤาษีหรือชีผ้าขาว  ไม่ว่าพระรอดลำพูน  หรือพระซุ้มกอ  จนถึงพระผงสุพรรณ  ผู้เขียนได้รูปฤาษีมาจากกรุเก่าแก่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีคราบกรุเป็นสนิมเหล็กเกาะติดแน่น แบบเดียวกับพระรอดลำพูนพิมพ์ต้อ  ก็คงสร้างมาในยุคเดียวกัน  ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นรูปฤาษีนารอด ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวไทยยุคโบราณคือฤาษีหรือชีผ้าขาว   ต่อมาเมื่อเจ้าเมืองแต่ละเมืองในยุคราชวงศ์พระเจ้ามังราย รับเอาพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้ามา  พระสงฆ์ก็เริ่มมีบทบาททางสังคมมากขึ้น  และเจริญเฟื่องฟูที่สุดในสมัยพระเจ้าติโลกราช  รัชกาลที่ ๙ แห่งเชียงใหม่       เจ้าขุนฟองครองเมืองวรนครจนสิ้นอายุขัย  ก็มีพระโอรสนามพระยาเก้าเกื่อน ครองเมืองสืบมา  ต่อมา เมื่อพระยาภูคาผู้เป็นปู่ชราภาพ ก็ให้พญาเก้าเกื่อนไปครองเมืองภูคา  พระยาเก้าเกื่อนจึงมอบวรนครให้นางพญาคำปินมเหสีอยู่ครองแทน   ซึ่งตรงกับสมัยพ่อขุนงำเมือง อาณาจักรพะเยา  (๑๘๐๑-๑๘๖๑) 
                    ต่อมาพ่อขุนงำเมืองก็ยกกองทัพไปตีวรนคร  พระนางคำปินจึงแจ้งข่าวศึกไปถึงพระยาเก้าเกือน  พร้อมกับแต่งทัพออกต่อสู้กับกองทัพพะเยา  แต่ไม่สามารถต้านทัพของพ่อขุนงำเมืองได้  นางพญาคำปินจึงหลบหนีออกจากเมืองพร้อมกับหญิงรับใช้คนหนึ่งไปอาศัยกระท่อมกลางป่าแห่งหนึ่ง  และประสูติกุมารที่กระท่อมกลางป่านั้น
                       ในบริเวณป่าแห่งนั้นมีแต่ห้วยที่แห้งแล้ง  หาน้ำใช้น้ำอาบไม่มี  นางและบุตรน้อยจึงได้รับความลำบากมาก  นางจึงตั้งสัจอธิษฐานว่า  หากกุมารมีบุญญาธิการจะได้ครองเมืองก็ขอให้มีฝนตกลงมาเถิด   ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก  เกิดน้ำไหลนองพัดเอาก้อนหินก้อนผามากองไว้เป็นอันมาก   พระนางเห็นเช่นนั้นก็มีพระทัยยินดี  อุ้มเอากุมารน้อยไปสรงน้ำ  และได้อาศัยอยู่ที่กระท่อมหลังนั้นสืบมา
                   เช้าวันรุ่งขึ้น  ชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของกระท่อมไร่กลางป่านั้นมาทำไร่ปลูกสวน ได้ยินเสียงกุมารร้องไห้จึงเข้าไปดู  ครั้นเห็นนางพญาก็จำได้  เพราะเคยเป็นข้าเก่าของพระยาเก้าเกื่อนมาก่อน  จึงรับเอานางพญาและกุมารไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน   จนกุมารเติบใหญ่ขึ้น อายุได้ ๑๖ ปี   นายบ้านเจ้าของกระท่อมกลางป่าดังกล่าวนั้นจึงนำกุมารไปถวายแด่พ่อขุนงำเมือง   พระองค์เห็นหนุ่มน้อยก็นึกรักเอ็นดู  จึงขอเอาไปเลี้ยงเป็นราชบุตรบุญธรรม  ตั้งให้เป็น “ขุนใส่ยศ”  ให้ไปกินเมืองปราด                    

                  พ่อขุนงำเมืองได้หญิงสาวชาววรนครผู้หนึ่งเป็นชายา นามว่า “พระนางอั้วสิม”  มีโอรสด้วยกันองค์หนึ่งนามว่า “เจ้าอาบป้อม”   เมื่อพ่อขุนงำเมืองจะเสด็จกลับไปครองเมืองพะเยา จึงมอบให้พระนางอั้วสิมและโอรสอยู่ครองเมืองวรนคร   หลังจากพ่อขุนกลับพะเยาไม่นาน  พระนางอั้วสิมก็พาโอรสไปเยี่ยม  และเกิดมีเรื่องแหนงใจกับพ่อขุนงำเมือง  ก็บังคมลากลับเมืองวรนคร     ต่อมานางพบกับขุนใส่ยศก็มีจิตเสน่หากัน  จึงได้อภิเษกสมรสกับขุนใส่ยศ  ครองเมืองวรนครด้วยกัน 
                          ความทราบถึงพ่อขุนงำเมืองก็ทรงพระพิโรธเป็นอันมาก  จึงยกกองทัพมาตีเมืองวรนครอีกครั้ง  ขุนใส่ยศเจ้าเมืองปราดจึงยกรี้พลออกสู้รบ  และให้เจ้าอาบป้อม โอรสของพ่อขุนออกรบด้วย  พ่อขุนเห็นโอรสออกมาสู้รบด้วยดังนั้นก็นึกสงสาร   จึงถอยรี้พลกลับเมืองพะเยา   ชาวเมืองวรนครจึงพร้อมใจกันทำพิธีราชาภิเศกให้ขุนใส่ยศเป็น “เจ้าพญาผานอง”  ครองเมืองวรนครสืบมา
                          พระยาผานองได้ครองเมืองสืบต่อมาจนถึง พ.ศ. ๑๘๙๓ ก็ถึงพิราลัย ทรงมีโอรสองค์ ๖ องค์ด้วยกัน    ขุนไสโอรสองค์น้อยได้ขึ้นครองเมืองแทน ต่อมาปี พ.ศ. ๑๘๙๖ ก็พิราลัย พระยาการเมืองราชโอรสองค์โตได้ขึ้นครองเมืองแทน พระยาการเมืองได้ทำไมตรีกับกรุงสุโขทัย(เข้าใจว่าครั้งนั้นเมืองน่านคงจะเป็นเมืองขึ้น ของกรุงสุโขทัย) ในปี พ.ศ. ๑๘๙๖ (จ.ศ.๗๑๕) ทางกรุงสุโขทัย มีการทำบุญทางศาสนาและได้บอกให้พระยาการเมืองทราบ พระยาการเมืองจึงลงไปช่วยเหลือและได้เกิดชอบกับพระยาโสปัตติกันทิ อำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่เมืองสุโขทัยหลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จแล้ว เมื่อพระยาการเมืองอำลากลับ พระยาโสปัตติกันทิได้มอบพระธาตุเจ้า ๗ องค์ กับพระพิมพ์คำ(ทองคำ) ๒๐ องค์ พระพิมพ์เงิน ๒๐ องค์ ให้พระยาการเมืองๆจึงอันเชิญพระธาตุดังกล่าวนั้นกลับมายังเมืองปัว และได้ทำพิธีบรรจุพระบรมธาตุ และพระพิมพ์ที่ได้มานั้น ไว้ที่ดอยภูเพียงแช่แห้งเมื่อได้อันเชิญพระธาตุเจ้าบรรจุที่นั้นเรียบร้อยแล้ว พระยาการเมืองก็ได้เสด็จกลับคืนยังเมืองปัว อยู่ต่อมาไม่นานนัก พระยาการเมืองจึงอยากอยู่ใกล้ชิดพระธาตุเจ้า เพื่อจะได้ทำการสักการบูชาโดยสะดวก จึงโปรดให้สร้างเมืองขึ้น ณ เชิงดอยภูเพียงแช่แห้ง ในปี พ.ศ. ๑๙๐๖ (จ.ศ.๗๒๕) เจ้าผากองราชบุตรขึ้นเสวยราชย์แทน ในปีนั้นเองเจ้าผากองครองเวียงแช่แห้งได้    ปีก็เกิดแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำ จนไม่มีให้สัตว์พาหนะกิน เจ้าผากองจึงขยับขยายไปสร้างเมืองอยู่ใหม่  ทรงทอดพระเนตรเห็นบ้านห้วยไค้ เป็นทำเลที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ ธัญญาหารน้ำท่าบริบูรณ์ดี จึงโปรดให้สร้างเมืองขึ้น คือเมืองน่าน  เมืองน่านเก่าอยู่ทางทิศใต้เมืองน่านปัจจุบัน 
                   ในตำนานพื้นเมืองระบุปี ที่เจ้าผากองทรงสร้างเมืองน่าน(เก่า)นี้ว่า “ปีรวายสง้า (มะเมีย) จุลศักราชได้ ๗๓๐ ตั๋ว(พ.ศ. ๑๙๑๑) เดือน ๑๒(เหนือ) ขึ้น ๖ ค่ำ วันอังคาร ยามแถร    เจ้าผากองครองเวียงแช่แห้งได้ ๖ ปี แล้วย้ายไปครองเมืองน่าน(เก่า) ครองอยู่ได้นาน ๒๑ ปี ลุวีรวายยี(ปีขาลสัมฤทธิศก) จุลศักราช ๗๕๐ พ.ศ.๑๙๓๑ ก็ถึงพิราลัย เจ้าคำตั๋นราชบุตรได้ครองเมืองสืบมา
                               ตลอดเวลาที่พญาผานอง ครองวรนคร(เมืองน่าน)   ทรงมีความสุจริต  ยุติธรรม  เป็นนักรบที่เข้มแข็งและปกครองที่ดี  เมืองวรนครเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่มีเมืองใดเลยที่กล้ามาตีเมืองวรนคร  ถึงพ.ศ.1892 เวลา30ปี ครั้นพิราลัย   พญาผากองนี้เป็นผู้สร้างเมืองน่านที่เวียงกุม บ้านห้วยไคร้ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๙ เชื้อสายของพญาผากองได้ครองเมืองน่านจนถึงเจ้าผาแสงเป็นองค์สุดท้าย ก่อนที่ทางเชียงใหม่จะส่งคนมาปกครองเมืองน่านโดยตรง ด้วยคุณงามความดีและอานุภาพของพญาผานอง  ชาวอำเภอปัวจึงสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่สักการะเมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๕ และปรับปรุงเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๓๖


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก

-http://www.sanyasi.org(ตำนานเมืองน่าน)
-จารึกประวัติพญาผานองบริเวณอนุสาวรีย์ พญาผานอง
- http://www.cm77.com (ภาพจาก rachata อัลบั้ม – วรนคร)

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ16 มีนาคม 2555 เวลา 03:09

    ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล ครับ ขอบคุณมาก ๆ

    ตอบลบ