หากจะพูดถึงความเก่งกล้าสามารถของอัศวินแห่งยุคพุทธศตวรรษที่ ๒๓ แล้ว แม่ธรณีลานนาไทยก็ได้ให้กำเนิดยอดนักรบผู้หนึ่ง ซึ่งมีความเก่งกล้าสามารถเป็นยอดเยี่ยม สามารถตีหักฝ่าวงล้อมของทัพพม่าซึ่งตั้งค่ายล้อมเมืองเชียงใหม่ทั้ง ๔ ทิศนั้นออกไปโดยลำพัง ไปขอทัพไทยกลางมาช่วยตีขนาบข้าศึกจนแตกพ่ายยับเยิน พฤติการณ์อันเป็นเกียรติประวัติของขุนพลแก้วผู้นี้ ได้ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ เพื่อเป็นแบบฉบับแก่อนุชนรุ่นหลัง เขาคือ
พระเจ้ากาวิละ พระเจ้าแผ่นดินล้านนาองค์ที่ ๑
ท้าวมหายักษ์ จอมอัศวินของพระเจ้าบรมราชาธิบดี(กาวิละ) พระเจ้าขัญฑสีมานครเชียงใหม่ที่ ๑
นับตั้งแต่พม่าได้ยกมาตีเมืองเชียงใหม่ ลำพูนแตกในปี พ.ศ. ๒๓๑๘ ในแผ่นดินพระเจ้าธนบุรี เหล่าประชาราษฎรต่างกระจัดกระจายแตกหนีไปอาศัยอยู่ตามป่าดง ลี้ภัยจากพม่าข้าศึก บ้านเมืองก็เลยกลายเป็นเมืองร้างแต่นั้นมา นครลำปางซึ่งเป็นเมืองที่กำลังรบเข้มแข็งในแคว้นลานนาไทยในขณะนั้น ก็ยอมอ่อนน้อมต่อพม่า ๆ จึงแต่งตั้งให้เจ้าชายแก้วผู้เป็นราชบุตรของพระสุละวะฤาชัยสงคราม (เจ้าหนานทิพย์ช้าง) เป็น "เจ้าฟ้า" ครองเมือง
ในสมัยนั้นพม่ามีอำนาจปกครองเมืองแผ่นดินลานนาไทย มีนครเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย เชียงแสน หัวเมืองฝ่ายเหนือตกอยู่ในอำนาจเงื้อมมือของพม่าทั้งสิ้น ในกาลต่อมา เจ้ากาวิละผู้เป็นราชบุตรของเจ้าฟ้าชายแก้ว ได้ร่วมคิดกับพญาจ่าบ้านผู้เป็นน้า เอาใจออกหากจากพม่า โดยหันหน้าเข้าร่วมมือกับฝ่ายไทยกลาง ในรัชกาลของพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งในรัชกาลนั้น พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกกองทัพขึ้นไปตีนครเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๓๑๗ โป่มะยุง่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่จึงให้พญาจ่าบ้านลงไปแผ้วถางทางน้ำ เพื่อยกกองทัพไปตรีกรุงศรีอยุธยา แต่พญาจ่าบ้านกลับไปนำกองทัพกรุงธนบุรียกขึ้นมา ส่วนพระเจ้ากาวิละนั้นในขณะนั้นครองเมืองนครลำปาง เมื่อทราบว่าพระเจ้ากรุงธนบุรียกกองทัพขึ้นมา ก็นำเอาเสบียงอาหารออกไปต้อนรับ และนำกองทัพขึ้นมาตีนครเชียงใหม่ โป่มะยุง่วนสู้รบไม่ไหว ก็แตกหนีไปตั้งอยู่ที่เมืองเชียงแสน
เมื่อตีเมืองเชียงใหม่แล้ว พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ตั้งให้พญาจ่าบ้านเป็นที่พระยาวิเชียรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ และให้เจ้ากาวิละครองเมืองนครลำปางตามเดิม ในสมัยนั้นนครเชียงใหม่ได้ถูกรบกวนโจมตีจากพม่าเสมอ เพราะพม่าตั้งใจที่จะยึดเอาเมืองเชียงใหม่ไว้เช่นเดิม ต่อมาเมื่อพระยาวิเชียรปราการ(พญาจ่าบ้าน)ถึงแก่กรรม เจ้ากาวิละก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ "พระยาวิเชียรปราการ" ครองเมืองเชียงใหม่สืบมา พระยากาวิละเห็นว่าเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ แต่มีไพร่พลน้อยเห็นที่จะรักษาเมืองไว้ได้ยาก เพราะพม่ามักจะยกมารบกวนอยู่เสมอ จึงย้ายไปตั้งอยู่ที่เวียงป่าซาง (อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน) แต่พม่าก็ยกไปตีถึงเวียงป่าซาง พระยากาวิละต้องขอทัพกรุงมาช่วยสู้รบพม่าจนพม่าแตกไป แม้กระนั้นพม่าก็ยังยกมารบกวนอีกหลายครั้ง ทำความเดือดร้อนให้แก่พลเมืองและสมณะชีพราหมณ์อย่างยิ่ง
ในขณะนั้น ไทยมีอำนาจปกครองเพียงเมืองลำพูน เชียงใหม่ นครลำปางเท่านั้น เชียงรายและเชียงแสนยังตกอยู่ในอำนาจของพม่าอยู่ และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๔๔ พม่าได้ให้จีนฮ่อผู้หนึ่งมาตั้งอยู่ที่เมืองสาด ประกาศตนเป็นเป็นพระเจ้าแผ่นดินลานนาไทย ๕๗ หัวเมือง พระยากาวิละเจ้านครเชียงใหม่จึงยกทัพไปตีเมืองสาด ซึ่งเป็นหัวเมืองไทยใหญ่และขึ้นต่อพม่า จับตัวราชาจอมหงเจ้าเมืองกับไหมขัตติยะบุตร พร้อมกับต้อนครัวชาวเมืองสาด ๕,๐๐๐ คนมาด้วย และจับได้ตัวซวยหลิงมณีทูตของพระเจ้าอังวะ ให้ถือสาส์นไปยังเมืองญวน และหนังสือญวนตังเกี๋ยถึงพระเจ้าอังวะ ส่งลงไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพพระมหานคร
การกระทำของพระยากาวิละครั้งนี้ ยังความโกรธเคืองให้แก่พระเจ้าอังวะเป็นอันมาก จึงได้แต่งตั้งให้อินแซะหวุ่นเป็นแม่ทัพ คุมพลยกมาตีเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๓๔๕ ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาที่พระยากาวิละได้ยกเข้ามาตั้งอยู่นครเชียงใหม่แล้ว กองทัพพม่าที่ยกมาตีเมืองเชียงใหม่ในครั้งนี้เป็นทัพใหญ่ และตั้งล้อมเมืองไว้เป็นเวลานาน แต่ก็หาตีเมืองแตกไม่ พระยากาวิละตั้งรักษาเมืองอย่างแข็งแรง พม่าจึงตั้งค่ายล้อมไว้ทั้ง ๔ ทิศ ดังปรากฎในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ว่า
"อินแซะหวุ่นแม่ทัพ จึงแบ่งไพร่พลออกเป็น ๗ สกอง ให้ปะไลโอนามิแล ชิดชิงโบ่ มะเดมะโย กงคอรัต ตองแพกะเมียหวุ่น มะยอกแพกะเมียหวุ่น เป็นแม่ทัพแต่ลพกองตามลำดับ ให้ปักเสาไม้ล้อมเมืองไว้ เสานั้นใหญ่ ๓ กำ ยาว ๘ วา ลงดิน ๑ วา มีเอ็นร้อยถึงกันทั้ง ๓ ชั้น มีกรอบกันปืน แผงบังตา มีสนามเพลาะสูง ๓ ศอก กว้าง ๑ วา มีช่องปืนเรียงรายรอบด้าน"
พม่าตั้งค่ายล้อมอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็หาตีหักเอาเมืองได้ไม่ พระยากาวิละได้รักษาเมืองอย่างแข็งแรงคอยทัพหลวงจากกรุงเทพฯซึ่งขอไปช่วย ซึ่งในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดฯให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทพระอนุชาธิราชเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกกองทัพมาช่วยแล้ว แต่เมื่อกองทัพยกมาถึงเมืองเถิน สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงพระประชวรเป็นโรคนิ่ว มีพระอาการเป็นที่น่าวิตกมาก ไม่สามารถจะเดินทัพต่อมาด้วยพระองค์เองได้ ครั้นความทราบถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯให้กรมพระราชวังหลังยกทัพตามขึ้นมาที่เมืองเถิน แต่กรมพระราชวังบวรฯ มีรับสั่งให้ยกกองทัพขึ้นมารออยู่ที่เมืองเชียงใหม่ก่อน และมีรับสั่งให้พระเจ้าหลานเธอ กรมหลวงเทพหริรักษ์ฯยกไปบรรจบกัน แล้วให้เข้าโจมตีพม่าพร้อมกัน
ทางฝ่ายเมืองเชียงใหม่ ซึ่งถูกล้อมอยู่นั้น เมื่อเห็นว่าทางกองทัพกรุงล่าช้า เกรงว่าจะรักษาเมืองไว้ให้พ้นจากเงื้อมมือข้าศึกไม่ได้ และผู้คนพลเมืองก็อดอยากเสบียงอาหารที่มีอยู่ก็ร้อยหรอลงทุกวันๆ จะออกไปหาเสบียงก็ไม่ได้เพราะพม่าล้อมเมืองแข็งแรงนัก และหากพม่าเห็นว่าชาวเมืองอ่อนกำลังลงก็จะยกเข้าตีหักเอาเมือง ก็คงจะต้องเสียเมืองแก่ข้าศึกอย่างแน่นอน พระยากาวิละและน้องทั้งหกขัดใจขึ้นมาก็ยกทหารออกตีค่ายพม่าที่ตั้งล้อมอยู่ แต่ก็ถูกพม่าตีกลับเข้ามาเพราะมีไพร่พลน้อยกว่า กล่าวกันว่าเพราะความอดอยากที่ถูกล้อมอยู่เป็นเวลานานวัน ทำให้ไพร่พลของพระยากาวิละถึงกับจับพม่าที่ปีนเข้ามาจะตีหักเอาเมืองทางแจ่งศรีภูมิ์ ๗ คนฆ่ากินเป็นอาหาร
ครั้นพม่าทราบว่า กรมพระราชวังบวรฯทรงพระประชวรอยู่เมืองเถิน จึงให้ท้าวมหายักษ์ทหารเอกแกไปเฝ้าทูลแจ้งข้อราชการให้ทรงทราบ
ท้าวมหายักษ์ผู้นี้ เป็นผู้มีฝีมือเข้มแข็งและกล้าหาญมาก เป็นผู้คงกระพันชาตรีและมีกำลังแข็งแรงมาก สามารถสู้รบข้าศึกได้หลายสิบคนในเวลาเดียวกัน ทั้งๆที่พม่าได้ตั้งล้อมเมืองไว้อย่างแข็งแรงดังกล่าวแล้ว แต่ท้าวมหายักษ์ก็ตีหักฝ่าออกไปจนได้ มิหนำซ้ำยังกล่าวท้าไว้เสียด้วยว่า จะกลับมาทางประตูนี้ ให้พม่าคอยจับเอาเถิด และก็ได้กลับเข้ามาทางประตูนั้นจริงๆ พม่าคอยจับก็จับไม่ได้ ความเก่งกล้าของท้าวมหายักษ์นี้ กล่าวไว้ในหนังสือบันทึกหลักฐานและเหตุการณ์สมัยกรุงเทพ เล่ม ๑ ว่า
"คืนนั้น ท้าวมหายักษ์ออกมาทางประตูน้ำ (ประตูสำหรับระบายน้ำ) ด้านที่พม่าได้ตั้งกองล้อมไว้ แล้วเขียนหนังสือปักไว้ว่า กูชื่อท้าวมหายักษ์ พระยากาวิละให้ออกไปเฝ้าสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเพื่อแจ้งข้อราชการ เสร็จเรื่องแล้วกูจะกลับเข้ามาทางประตูนี้อีก มืงคอยจับกูเถิด ทั้งไปและกลับท้าวมหายักษ์ก็ผ่านทางนั้น พม่าพยายามจะจับก็จับไม่ได้"
เมื่อท้าวมหายักษ์หลบหนีจากวงล้อมของพม่าออกไปได้แล้ว ก็มุ่งตรงไปเมืองเถินเข้าเฝ้าสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทฯ ทรงมีรับสั่งให้ท้าวมหายักษ์กลับมาแจ้งแก่พระยากาวิละว่า ได้จดให้พระเจ้าหลานเธอ กรมหลวงเทพหริรักษ์ฯยกกองทัพมาช่วยแล้ว ขอให้พระยากาวิละรักษาเมืองไว้คอยท่าทัพกรุงให่จงได้ และเมื่อทัพกรุงยกไปถึงเข้าตีทัพพม่า ก็ให้กองทัพพระยากาวิละตีกระหนาบออกมา พม่าจะได้แตกหนีไป
เมื่อกองทัพกรุง ซึ่งมีพระเจ้าหลวงเธอ เจ้าฟ้า กรมหลวงเทพหริรักษ์เป็นแม่ทัพยกมาสมทบ กับทัพของเจ้าบำเรอภูธร (เป็นบุตรจีนแสชาวเมืองชลบุรี ได้ร่วมสาบานเป็นภารดากับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ๆ มีอุปการะแก่น เมื่อเวลาบ้านเมืองเป็นจลาจลเสียกรุงแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ จึงโปรดให้สถาปนาเป็นกรมขุนสุนทรภูเบศร ยกขึ้นเป็นเจ้าตามพระราชประสงค์ของกรมพระราชวังบวรฯ เป็นต้นตระกูล สุนทรกุล ณ ชลบุรี) ที่เมืองลำพูน และยกเข้าตีทัพพม่าที่ตั้งอยู่ที่เมืองลำพูน ได้สู้รบกันถึงตะลุมบอน พม่าจึงแตกหนีไป ทางเมืองเชียงใหม่เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ฯ และเจ้าบำเรอภูธรจึงยกทัพออกติดตามไป และตั้งค่ายล้อมทัพพม่าที่ตั้งล้อมเมืองไว้อีกชั้นหนึ่ง และพร้อมกันกรมพระราชวังหลังซึ่งยกมาคอยอยู่ก่อนแล้วนั้น ต่างก็ยกเข้าตีพม่าพร้อมกันทุกด้าน และทัพพระยากาวิละก็ตีกระหนาบออกมาจากในเมือง ตั้งแต่ตีสามของคืนนั้น
การสู้รบได้เป็นไปอย่างดุเดือด พม่าจัดไพร่พลออกมาเรียงรายตามสนามเพลาะนอกค่าย แล้วใช้ปืนยิง ขึ้นกราดไว้ ส่วนทหารไทยต้องแอบอาศัยคันนากำบังกาย ยิงตอบโต้กันจนรุ่งสว่าง กองทัพไทยจึงบุกเข้าไปในค่ายของพม่าได้ และไล่บุกฟันบั่นแทงเข้าไปทุกค่าย พม่าต้านทานไว้ไม่ไหวก็แตกหนีไปอย่างไม่เป็นกระบวน พระยากาวิละจัดทัพชาวเชียงใหม่ไล่ติดตามไปจนถึงเมืองเชียงแสน
ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๓๔๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้สถาปนาพระยากาวิละเป็นเจ้าขัณฑสีมา มีพระนามตามสุพรรณบัฏว่า"พระบรมราชาธิบดีศรีสุริยวงศ์ องค์อินทรสุริยศักดิ์ สมญามหาขัตติราช ชาติราไชยสวรรค์ เจ้าขัณฑสีมา พระนครเชียงใหม่ราชธานี ให้เป็นใหญ่ในลานนา ๕๗ หัวเมือง" เพราะมีความชอบที่รักษาเมืองเชียงใหม่ไว้ได้จากเงื้อมมือพม่าข้าศึก และจัดทัพไล่ตีพม่าถึงเมืองเชียงแสน
ถึงแม้ว่าในพงศาวดารตอนหลัง จะไม่ได้กล่าวถึงท้าวมหายักษ์จอมอัศวินผู้กล้าหาญนี้เลย แต่ท้าวมหายักษ์ก็เป็นยอดอัศวินชาวล้านนาคนเดียว ที่ได้รับเกียรติจากนักประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ บันทึกนามของเขาไว้ในพงศาวดารเพื่อเป็นแบบฉบับและเป็นอนุสรณ์แก่อนุชนรุ่นหลังว่า ในกาลครั้งหนึ่งนักรบชาวลานนาของเรามีความเก่งกล้าสามารถ ไม่แพ้นักรบในถิ่นอื่นเหมือนกัน
คัดจาก "คนดีเมืองเหนือ" สงวน โชติสุขรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น