สถูปขุนหลวงวิลังคะตั้งอยู่หมู่ที่ ๕ บ้านเมืองก๊ะ ปัจจุบันมีผู้คนมาสักการะบูชาจำนวนมาก แต่ละปีจะมีการจัดทำ พิธีทำบุญประจำปี ในตำนานกล่าวว่า ขุนหลวงวิลังคะ หรือ “มะลังกะ” กษัตริย์ของชนเผ่าลั๊วะ สร้างอานาจักรอยู่ใบริเวณเชิงเขาดอยสุเทพ และที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง มีเมืองสำคัญปรากฏหลักฐานสืบมา เช่น เวียงนพบุรี เวียงเชษฐบุรี ( เวียงเจ็ดลิน) และ เวียงสวนดอก ก่อนที่จะถูกพระยามังรายแผ่ขยายเข้ามาทำการยึดครองเพื่อสร้างเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๑๙๘๓
ต้นกําเนิดของขุนหลวงวิลังคะ เปนชนชาวลัวะหรือละวา หรือ ลาวจักราชซึ่งในอดีตชนกลุมนี้ ปกครองอาณาจักรลานนารวม ๘ ดินแดนภาคเหนือของไทยซึ่งแตเดิมไดขนานนามวา “นครทัมมิฬา” หรือ “นครมิรังคะกุระ” ซึ่งมีองคพระอุปะติราชปกครองสืบตอกันมาจนสิ้น “วงศอุปะติ” และเริ่มการปกครองใหมโดยวงศ “กุนาระ” ซึ่งในสมัยพระเจากุนาระราชาครรองราชยไดทรงเปลี่ยนนามนครมาเปน “ระมิงคนคร”ขุนหลวงวิลังคะ เปนกษัตริยองคที่ ๑๓ ของ “ระมิงคนคร” ในราชวงศกุนาระ เมื่อราวตนพุทธศักราช ๑๒๐๐ ทานทรงมีอิทธิฤทธิ์และฝมือในการพุงเสนา (หอก) จนเปนที่เลื่องลือ ทานไดทรงครอบราชย “ระมิงคนคร” ในสมัยเดียวกันกับที่พระนางจามเทวี ทรงครองราชย“นครหริภุญชัย”ขุนหลวงวิลังคะ ไดสิ้นพระชนมเมื่อ พ.ศ. ๑๒๒๗ ณ ระมิงคนคร รวมอายุได ๙๐ กวาชันษา
ระมิงคนคร ไดถูกปกครองสืบเนื่องมาหลายยุคหลายสมัย จนสมัยพญามังรายที่ ๒๕ ในปพ.ศ. ๑๘๓๔ ไดเริ่มสร้างเมืองเชียงใหมขึ้นที่เชิงดอยสุเทพ และสรางเสร็จเมื่อปพ.ศ. ๑๘๓๙ ไดตั้งชื่อนครใหมวา “เวียงนพบุรีพงคชัยใหมหรือ “เจียงใหม”มาเปน “เชียงใหม” ในปจจุบันชาวเมืองกะ เชื่อกันมานานแลววาพอขุนเสียชีวิตที่นี่ที่บานเมืองกะ ทานเปนกษัตรยชาวลัวะองคที่ ๑๓ ของระมิงคนครในราชวงศกุนาระ เมื่อราวตนพุทธศักราช ๑๒๐๐ ทรงมีอิทธิฤทธิ์มีฝมือในการพุงหอกเสนา (สะ-เนา) เปนที่เลื่องลือ สิ้นพระชนมดวยความตรอมใจเมื่อพุทธศักราช ๑๒๒๗ เพราะไมสมหวังในความรักจากพระนางจามเทวีที่ปกครองนครหริภุญชัยในสมัยเดียวกันเขตชุมชนในที่ราบลุมแมน้ำปงตอนบน และเขตชุมชนลุมแมน้ำกกเขตชุมชนในที่ราบลุมแมน้ำปงตอนบน (แองเชียงใหม-ลําพูน) สมัยชุมชนพื้นเมือง "ลัวะ" ตํานานจามเทวีเปนตํานานหนึ่งที่แสดงใหเห็นวา บริเวณเชิงดอยสุเทพเปนที่อยูของลัวะมีขุนหลวงวิลังคะเปนผูปกครอง เมื่อพระนางจามเทวีอพยพผูคนจากลพบุรีขึ้นมาปกครองหริภัญชัย ขุนหลวงวิลังคะตองการพระนางจามเทวีเปนมเหสีพระนางจามเทวีปฏิเสธจึงเกิดการทําสงครามระหวางมอญกับลัวะ พวกลัวะพายแพหลังจาก นั้นตํานานจามเทวีก็ไมไดกลาวถึงพวกลัวะอีกเลย เ ขาใจวาหลังจากแพสงครามตอพระนางจามเทวีแลว คงจะกระจัดกระจายไปตามปาเขาและตามที่ตาง ๆ เมื่อพญามังรายกอตั้งเมืองเชียงใหมตํานานพื้นเมืองเชียงใหมระบุวาบริเวณนี้"เปนที่อยูที่ตั้งแหงทาวพระยาทั้งหลายมาแตกอน" อิทธิพลดานความเชื่อของพวกลัวะที่สืบมาจนปจจุบันนอกจากการนับถือเสาอินทธีลแลว ยังมีการนับถือผีปูยาและยาแสะ ซึ่งเปนผีที่รักษาเมืองเชียงใหม โดยชาวบาน ตําบลสุเทพ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม เปนผูกระทําพิธีเชนเวยผีปูแสะซึ่งเปนผูพิทักษดอยสุเทพ และชาวบานตําบลแมเหียะ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม จะสังเวยผียาแสะ บริเวณดอยคํา พรอมกับการทําพิธีเลี้ยงผีปูแสะยาแสะ จะมีการทําเชนสังเวยผีขุนหลวงวิลังคะอีกดวย ซึ่งชาวบานเชื่อวาขุนหลวงวิลังคะเปนผีลูกหลานบริวารของปูแสะยาแสะ
ตำนานความรักของ ขุนหลวงวิลังคะกับพระนางจามเทวี
...เล่ากันว่า ในสมัยที่พระนางจามเทวีปกครองเมืองหริภุญไชยราว พ.ศ. ๑๓๐๐ ในสมัยนั้นเล่ากันว่า นครหริภุญไชยเป็นนครของชนชาติมอญ หรือเม็ง และในขณะเดียวกันบริเวณเชิงดอยสุเทพเป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะมี ขุนหลวงวิรังคะเป็นเจ้าเมืองหรือหัวหน้า ขุนหลวงวิรังคะมีความรักในพระนางจามเทวี มีความประสงค์จะอภิเษกกับพระนาง แต่พระนางไม่ปรารถนาจะสมัครรักใคร่กับขุนหลวงลัวะ เพราะเป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมต่ำกว่ามอญในสมัยนั้น ขุนหลวงได้ส่งทูตมาเจริญไมตรีขอนางอภิเษกด้วย พระนางก็ผลัดผ่อนหลายครั้ง โดยมีเงื่อนไขต่าง ๆ ได้แก่ ขอให้ขุนหลวงสร้างเจดีย์ที่มีขนาดและลักษณะคล้ายกับเจดีย์พระธาตุหริภุญไชย ให้ขุนหลวงพุ่งเสน้ามาตกที่ในเมือง พระนางจึงจะอภิเษกสมรสด้วย
ผู้แทนของพระนางจามเทวี ได้นำของบรรณาการอันมีหมวกและชุดหมากพลูไปถวายแด่ขุนหลวงวิลังคะ
ก่อนสิ้นชีวิต ขุนหลวงวิรังคะได้ขอให้เสนาอำมาตย์นำศพของท่านไปฝังไว้ ณ สถานที่ที่ขุนหลวงจะสามารถมองเห็นเมืองหริภุญไชยได้ตลอดเวลา ทหารได้จัดขบวนศพของขุนหลวงจากเชิงดอยสุเทพขึ้นสู่บนดอยสุเทพเพื่อหาสถานที่ฝังตามคำสั่ง ขบวนแห่ศพได้ลอดใต้เถาไม้เลื้อยชนิดหนึ่งเรียกว่า เครือเขาหลง ซึ่งเชื่อว่าถ้าผู้ใดลอดผ่านจะทำให้พลัดหลงทางกันได้ ขบวนแห่ศพขุนหลวงได้พากันพลัดหลงกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง นักดนตรีบางคนพลัดหลงไปพร้อมกับเครื่องดนตรีของตน นิทานเล่าว่าภูเขาที่นักดนตรีผู้นั้นหลงจะปรากฏมีรูปร่างคล้ายเครื่องดนตรีนั้น ๆ บนยอดเขาสุเทพ-ปุย จะมีภูเขาชื่อต่าง ๆ ดังนี้ ดอยฆ้อง ดอยกลอง ดอยฉิ่ง ดอยสว่า บางแห่งเป็นที่แคบและฝาครอบโลงศพปลิวตก บริเวณนั้นเรียกว่า กิ่วแมวปลิว (คำว่า แมว หมายถึง ฝาครอบโลงศพที่ทำด้วยโครงไม้ไผ่ใช้ตกแต่งด้านบนของฝาโลงศพ)
เสนาอามาตย์ที่หามโลงศพของขุนหลวงได้เดินทางไต่ตีนเขาไปทางทิศเหนือ ถึงบริเวณแห่งหนึ่ง โลงศพได้คว่ำตกลงจากที่หาม เสนาอามาตย์จึงได้ฝังศพของขุนหลวงไว้ ณ สถานที่บนภูเขาแห่งนี้ ซึ่งจะสามารถมองเห็นเมืองหริภุญไชยได้ตลอดเวลา ยอดภูเขานี้ชาวบ้านเรียกว่า ดอยคว่ำหล้อง (หล้อง หมายถึง โลงศพ)
ปัจจุบันชาวบ้านยังเรียกชื่อภูเขาลูกนี้ว่า ดอยคว่ำหล้อง ตั้งอยู่บนภูเขาบริเวณเหนือน้ำตกแม่สา อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ยอดเขาเป็นรูปสี่เหลี่ยมตัดลักษณะคล้ายโลงศพ บนยอดเขามีศาลของขุนหลวงวิรังคะตั้งอยู่ ชาวบ้านบริเวณเชิงเขาเล่าว่า กลางคืนเดือนเพ็ญบางครั้งจะได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงบนยอดเขา เชื่อกันว่าวิญญาณของขุนหลวงสถิตอยู่บนดอยคว่ำหล้อง
บริเวณเชิงเขา มีหมู่บ้านลัวะหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่า บ้านเมืองก๊ะ มาจากชื่อของขุนหลวงวิรังคะ เชื่อกันว่า ชาวลัวะเหล่านี้เป็นเชื้อสายของขุนหลวงวิรังคะ ที่หมู่บ้านแห่งนี้มีศาลที่สถิตวิญญาณของขุนหลวง และทหารซ้ายและขวาของขุนหลวงอีก ๒ ศาล ชาวบ้านจะเซ่นสรวงดวงวิญญาณขุนหลวงและทหารปีละครั้ง ชาวบ้านเล่าว่า ดวงวิญญาณของขุนหลวงจะสถิตอยู่ ๓ แห่งได้แก่ บนดอยคว่ำหล้อง ศาลที่บ้านเมืองก๊ะ อำเภอแม่ริมและอีกแห่งหนึ่งคือ บริเวณดอยคำ อำเภอเมือง ซึ่งตั้งอยู่ทิศใต้ของดอยสุเทพ ปัจจุบันบนยอดดอยมีวัดชื่อว่า วัดพระธาตุดอยคำ บนวัดแห่งนี้มีอนุสาวรีย์ขุนหลวงวิรังคะประดิษฐานที่ลานวัดใกล้เจดีย์ และที่ดอยคำแห่งนี้เป็นที่สถิตดวงวิญญาณของหัวหน้าลัวะซึ่งเป็นบรรพบุรุษของขุนหลวงวิรังคะ ชื่อว่า ปู่แสะ ย่าแสะ ซึ่ง จะมีการเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะ ด้วยควายทุกปี หรือ ๓ ปีครั้ง.
ตำนานคำสาปขุนหลวงวิลังคะ
ขุนหลวงวิลังคะเจ้าแห่งระ-มิงค์นคร กระฉ่อนชื่อชำนาญการ พุ่งเสน้า สมเล่าลือหวังหยุดยื้อ หญิงงาม จามเทวีถูกท้าว่า พุ่งเสน้า เข้าเมืองได้ตัวนางไซร้ จะยอมเป็น มเหสีด้วยฤทธิ์รัก โสภา ยอดนารีเสน้าพุ่ง ถึงเร็วรี่ ที่หัวเวียงข้างพระนาง จามเทวี ถึงที่อับเพราะเคยรับ ต่อปาก ยากจะเลี่ยงอุบายใด ไหนหนอ จะพอเพียงไม่ต้องเสี่ยง เป็นคู่บุญ ขุนวิลังค์จึงเย็บหมวก สีผ่อง เป็นของขวัญลงอาถรรพ์ เวทย์มนต์ อาคมขลังส่งให้หลวง วิลังคะ นะจังงังพร้อมกับสั่ง สวมตลอด อย่าถอดไว้โดยเฉพาะ ตอนมุ่ง พุ่งเสน้าจงสวมเอา อย่าขว้าง ทิ้งทางไหน วิลังคะ แย้มยิ้ม กระหยิ่มใจด้วยหวังได้ จามเทวี ศรีโสภาจึง พ.ศ.หนึ่งสอง สองหกศรเสน้า ถูกยก ขึ้นเหนือบ่า ณ อุจฉุ–คีรี ปัพพตา อนิจจา...กลับระทด หมดเรี่ยวแรงเพราะอำนาจ อาถรรพ์ อันเร้นลับลงไว้กับ หมวกนั้น มันกล้าแกร่งแทบทรุดกาย โหยอ่อน นอนตะแคงอำนาแห่ง อาคม ข่มทั่วกายแรงพุ่งไป เพียงแต่ แค่เชิงเขาลมหายใจ กระเส่า เศร้าเหลือหลายเหลือความแค้น ผสมกับ ความอับอายสิ้นเชิงชาย ถูกลบหลู่ เสียรู้นางจึงสั่งโย–ธาร่วม รวมกองทัพหวังเข้าสัประ-ยุทธ์แยก แหลกกันข้าตีลำพูน ให้แหลก แบบล้างบางพลม้าช้าง เข้าย่ำ หริภุญ(ชัย)ฝ่ายพระนาง จามเทวี มิไหวหวั่นเตรียมทัพมั่น กำลังใจ ไม่เสื่อมสูญเพราะเมืองนาง อุดม สุขสมบูรณ์ไพร่พลกูล เกื้อกัน อย่างมั่นใจและแล้วทัพ สองทัพ สัประยุทธ์ในที่สุด ขุนวิลังค์ พลั้งจนได้ถูกฟันแขน–ขวาเกือบขาด เพราะพลาดไปหมู่พลไพร่ แตกฉาน กระซ่านเซ็นเหล่าทหาร ไม่รีรอ พาหนีทัพถูกไล่ขับ หนีซอนซุก อย่างทุกข์เข็นโดนโจมตี เหยียบย่ำ แสนลำเค็ญแพ้ไม่เป็น กลับพ่าย อายผู้คนตกกลางคืน จึงคิด ปลิดชีวิตอยู่ก็ติด เสียศักดิ์ศรี สูญปี้ป่นกินยาสั่ง เพื่อปลิด ชีวิตตนเพราะ สุดทน ต่อความช้ำ ระกำทรวงจึงก่อนตาย เอ่ยอ้ำ ลั่นคำสาปเป็นตราบาป เอาไว้ อย่างใหญ่หลวงชาวลำพูน ชาวระมิงค์ ชายหญิงปวงจงติดบ่วง คำสาป ตลบเท่านานแม้นเขาได้ สมสู่ เป็นคู่สองอย่าสมปอง ครองรัก มีหลักฐานจงเป็นไป ตามวาจา สาปสาบานชั่วลูกหลาน นานนับ ชั่วกัปกัลล์วิลังคะ มรณา กินยาสั่งทหารทั้ง–หลายหาม ข้ามเขตขัณฑ์คันเฉลียง ที่หาม หักกลางคันมิอาจนำ ศพนั้น สู่ยังพิงค์จึงฝั่ง ไว้ที่แหล่ง ดอยแห่งหนึ่งณ ที่ซึ่ง เรียก“ดอยกู่” ให้สู่สิงเป็นตำนาน รักฉาว ชาวระมิงค์เป็นเรื่องจริง ที่กล่าวไว้ ในตำนาน
เข้าไปบูชานม้สการขุนหลวงที่บ้านเมืองก๊ะเข้าไปแล้วทำให้รู้สึกว่าเหมือนเป็นเมืองๆหนึ่งสถานที่ที่อนุสาวรีย์ขุนหลวงเห็นแล้วขนลุกเหมือนว่าจะเคยเห็นท่านอยู่ที่นั่นรู้สึกศรัทธาและเคารพท่านมากดูต้นไม้ก็ร่มรื่นเหมือนท่านจงใจจะมาอยู่ตรงแถวๆเมืองก๊ะดังวิญญาณของท่านจะสิงสถิตอยู่ ณ ตรงต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ดิฉันเขียนตามความรู้สึก เพราะพึ่งเข้าไปครั้งแรกแต่ก้ประทับใจตั้งใจว่าจะไปทุกปี และจะไปตั้งโรงทานด้วย เหมือนท่านจะคอยใครอยู่ที่ตรงนั้น เห็นแล้วก็ชอบทั้งๆที่เมืองก๊ะไกลก็ไกลแต่ก็อยากเข้าไปตามความรู้สึกที่เจอท่านครั้งแรก
ตอบลบขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ...
ตอบลบนักวิชาการค้นพบหลักฐานที่ฝังพระศพพระเจ้าวิรังคะ ณ บริเวณม่อนดอยนำ้ตกห้วยแก้ว พบโครงพระศพ นิ้วข้อพระหัตถ์ สร้อยพระศอ และหลักฐานทางโบราณคดีอีกมาก
ตอบลบพูนทรัพย์ วงศาศุกลปักษ์
0845048755
กรุณาแจ้งให้กระจ่าง ให้ถูกต้องตามหลักกฏหมายและวิชาการอย่ามุสา
ลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ