วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

พระเจ้าศรีสองเมือง วีรบุรุษแห่งเมืองนันทบุรี

          พระเจ้าศรีสองเมือง  ทรงครองราชย์แคว้นล้านนา ใน ๒๑๕๘ - ๒๑๗๔ ในกำกับของพม่าเป็นระยะเวลา ๑๖ ปี พระองค์ทรงเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าฟ้าสารวตี และทรงเป็นเจ้าเมืองน่าน ในช่วงเวลานี้แผ่นดินพม่าอยู่ในรัชสมัยของพระเจ้าสีหสุธรรมราชา พระองค์จึงคิดยึดครองล้านนากลับมามีเอกราชอีกครั้ง เจ้าศรีสองเมืองจึงเอาใจออกห่างพม่า จากนั้นพระองค์ก็ถูกจับกุมไปไว้ในนครหงสาวดี

          
เจ้าศรีสองเมือง  หรือมีนามภายหลังที่ได้ครองเมืองน่านแล้วว่า เจ้าพระยาพลศึกซ้ายไชยสงคราม  ผู้นี้เป็นสำคัญคนหนึ่งของลานนาไทย  ต่อมาภายหลังพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าเชียงใหม่  ประมุขของอาณาจักรลานนาไทย  ในยุคพม่าเรืองอำนาจ  ท่านได้คิดกู้อิสรภาพทำการแข็งเมืองสู้รบกับพม่าผู้เกรียงไกรในยุคนั้น  แต่ยังไม่ถึงคราวที่ลานนาไทยจะเป็นอิสรภาพ  พม่าซึ่งมีกำลังเหนือกว่าจึงเป็นฝ่ายชนะ  และจับกุมตัวพระองค์ไปกักขังไว้ที่กรุงอังวะ  จนถึงแก่ทิวงคต ณ ที่นั้นเอง

           
ในสมัยประมาณ พ.ศ. ๒๑๐๓  ในครั้งนั้นเชียงใหม่ได้เสียอิสรภาพแก่พม่าแล้ว (ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเมกุฏิหรือพญาแม่กุ) ทางเมืองน่านมีพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามเป็นเจ้าเมืองน่าน  ครั้งต่อมาใน พ.ศ. ๒๑๒๓ เจ้าฟ้าสารวดี (หรือในตำนานโยนกเรียกว่า มังซานรธามังคุย เป็นราชบุตรของพระเจ้าบุเรงนอง  เดิมครองเมืองสารวดี  พระบิดาให้มาครองเมืองเชียงใหม่ต่อจากพระนางวิสุทธิเทวี)  ได้ยกกองทัพมาตีเมืองน่าน  พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามเห็นทีจะสู้ไม่ได้จึงยอมสวามิภักดิ์ขึ้นต่อเชียงใหม่  พระยาเสถียรไชยสงครามมีราชบัตรอยู่ ๔ องค์  องค์โตชื่อเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์  องค์ที่ ๒ ชื่อ เจ้าน้ำบ่อ (แต่แรกไม่ปรากฏชื่อ  ชื่อนี้เรียกเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว)  องค์ที่ ๓ ชื่อ เจ้าศรีสองเมือง  องค์ที่ ๔ ชื่อ เจ้าอุ่นเมือง  

         
เมื่อเจ้าศรีสองเมืองบุตรองค์ที่ ๓ ประสูติออกมานั้น  เกิดมหัศจรรย์ต่างๆ เช่นแผ่นดินไหวเป็นต้น  พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามบิดาจึงให้หาโหรมาทำนาย  โหรทำนายว่า เจ้าศรีสองเมืองผู้นี้  เมื่อเติบโตไปภายหน้าจะมีบุญญาบารมีมากนัก  แต่ว่าจะทำปิตุฆาต  ขอให้เอาไปฆ่าทิ้งเสียให้ตาย  พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามทรงเห็นด้วย  จะให้เอาไปทิ้งเสียตามคำทำนายของโหร  แต่เจ้าน้ำบ่อราชบุตรองค์ที่ ๒ ได้กราบทูลทัดทานไว้เพราะความสงสาร  และทูลขอเอากุมารผู้เป็นน้องนั้นไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม  ซึ่งพระบิดาก็ทรงอนุญาตตามความประสงค์  เจ้าน้ำบ่อจึงเอาน้องไปเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ขึ้นมา

         
ฝ่ายพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามได้ครองเมืองน่านสืบมา  จนกระทั่งย่างเข้าวัยชราก็ประชวรถึงแก่พิราลัย  เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ราชบุตรที่ ๑ จึงได้ครองเมืองน่านสืบมา  เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ได้ขึ้นครองเมืองน่านในปี พ.ศ. ๒๑๓๔  หลังจากที่ครองเมืองได้ ๖ ปี  ลุปี พ.ศ. ๒๑๓๙ โปรดให้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้น  ในสมัยนั้นเมืองน่านขึ้นต่อเชียงใหม่  ซึ่งมีกษัตริย์เป็นพม่าครองอยู่  เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์คิดกูอิสรภาพ  จึงตั้งแข็งเมืองไม่ย่อมส่งส่วยให้พระเจ้าเชียงใหม่ (เจ้าฟ้าสารวดี)  พระเจ้าเชียงใหม่ทรงทราบว่าเมืองน่านแข็งเมืองเช่นนั้น  ก็ทรงยกกองทัพมาเพื่อปราบปราม  ให้เข้าอยู่ในอำนาจของพระองค์เช่นเดิม  เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ยกกองทัพไปตั้งรับอยู่ที่ตำบลปากงาว  และได้สู้รบกันเป็นสามารถ  แต่เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์มีกำลังไพร่พลน้อยกว่า  จึงพ่ายแพ้แก่กองทัพของพระเจ้าเชียงใหม่  ล่าถอยหนีไปอาศัยอยู่กับพระเจ้าล้านช้าง  ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่เมื่อตีได้เมืองน่านแล้ว  ก็แต่งตั้งพระยาแขกอยู่รักษาเมืองน่าน

         
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๔๓  เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์และน้องทั้งสาม  ได้กำลังกองทัพล้านช้างช่วยเหลือ  ได้ยกไปรบพระเจ้าชียงใหม่  แต่เมืองเชียงใหม่สู้รบป้องกันเมืองแข็งแรงนัก  ตีไม่แตก จึงล่าถอยมายังเมืองน่าน  พระยาแขกผู้รักษาเมืองน่าน  เห็นกองทัพเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ยกมาเช่นนั้น  เกรงว่าชาวเมืองจะไม่เป็นใจด้วย  จึงไม่คิดสู้รบและอพยพครัวหนีไปยังเมืองเชียงใหม่เสีย  เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์จึงยกเข้าไปตั้งอยู่เมืองน่านอีกครั้งหนึ่ง

         
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๔๖  พระเจ้าเชียงใหม่ยกกองทัพมาตีเมืองน่านอีก  ครั้งนั้นเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์และเจ้าน้ำบ่อได้มอบให้เจ้าศรีสองเมือง ซึ่งเป็นทั้งน้องและบุตรบุญธรรมของเจ้าน้ำบ่อเป็นผู้รักษาด้านประตูหิ้งน้อย  แต่เจ้าศรีสองเมืองกลับคิดเอาใจออกหากจากพี่ทั้งสอง  ไปเข้ากับพระเจ้าเชียงใหม่  เปิดประตูเมืองออกรับกองทัพพม่าเข้าเมือง  พม่าจับตัวเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์และเจ้าน้ำบ่อ  ผู้เป็นพี่และบิดาเลี้ยงเจ้าศรีสองเมืองได้  พม่าจึงให้เอาไม้หนีบอกเจ้าน้ำบ่อไว้อยู่ได้ ๗ วันก็ถึงแก่กรรม  แล้วให้เอาศพไปทิ้งไว้ที่บ่อน้ำข้างตะวันตกวัดภูมินทร์  จึงเรียกว่า เจ้าน้ำบ่อแต่นั้นมาตราบจนทุกวันนี้  ส่วนเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์นั้น  พม่าจับตัวไปยังเมืองเชียงใหม่
ด้วย  ครั้นถึงก็ให้ฆ่าเสีย  วันที่เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ถูกประหารนั้น  เกิดแผ่นดินไหวเป็นอัศจรรย์  ครั้นแล้วพระเจ้าเชียงใหม่ก็สถาปนาให้เจ้าศรีสองเมืองเป็นที่ เจ้าพระยาพลศึกซ้ายไชยสงคราม เจ้าเมืองน่าน”  และทรงรับเลี้ยงไว้ในฐานะราชบุตรบุญธรรม

         
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๕๗ จุลศักราช ๙๗๖ (พงศาวดารลานนาไทยฉบับของแสนหลวงราชสมภาร ว่า พ.ศ. ๒๑๕๘ จุลศักราช ๙๗๗) เดือน ๕  น้องมองกวยตกราชบุตรองค์ที่ ๒ ของพระเจ้าเชียงใหม่สารวดีทิวงคต  ไม่มีราชบุตรที่จะสืบสันตติวงศ์  บรรดาขุนนางท้าวพระยาทั้งหลายและข้าราชบริพารทั้งมวล  จึงพร้อมใจกันไปอัญเชิญเอาเจ้าพระยาพลศึกซ้ายไชยสงคราม เจ้าเมืองน่าน  ผู้เป็นราชบุตรบุญธรรมของพระเจ้าเชียงใหม่สารวดีนั้น  มาครองเมืองเชียงใหม่  พระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมืองจึงโปรดให้เจ้าอุ่นเมืองอนุชาเป็นเจ้าเมืองน่าน  แล้วพระองค์เสด็จขึ้นมาครองเมืองเชียงใหม่

         
ในครั้งนั้น  ภายใต้เศวตฉัตรของประเทศพม่าเกิดยุ่งเหยิง  เนื่องจากมังเรทิปราชบุตรของพระเจ้าหงสาวดีร่วมคิดกับขุนนางลอบปลงพระชนม์พระเจ้าหงสาวดี  แล้วยกมังเรทิปขึ้นเสวยราชสมบัติแทน  เมื่อความทราบถึงสะโดะธรรมราชา (พระเจ้าสุทโธธรรมราชาหรือพระเจ้าแปร) กับมังเรกะยอโส (พระเจ้าอังวะ)  ซึ่งมาจัดการปกครองแคว้นลานนาไทยอยู่ในขณะนั้น  ก็รีบยกกองทัพกลับไป  ครั้นถึงเมืองปินยาทราบว่าเจ้าราชบุตรมังเรทิป (หรือนองรามเมง) ได้ครองราชย์สมบัติแล้ว  ก็ถอยไปรวบรวมกำลังรี้พลที่เมืองฮ่อ  ได้กำลังพอแล้วก็ยกไปตีเมืองพะโคถอดมังเรทิปออกเสียจากราชสมบัติ  และพระเจ้าแปร (สะโดธรรมราชา) จึงขึ้นครองราชย์สมบัติ  และทรงตั้งให้มังเรกะยอโส (พระเจ้าอังวะหรือมังเรจอชะวา) เป็นมหาอุปราชา  แต่ให้รักษากรุงอังวะไว้  ส่วนพระเจ้าสุทโธธรรมราชาได้ยกกองทัพกลับมายังลานนาไทยอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ในแคว้นลานนาไทยที่ยังแข็งเมืองอยู่นั้นให้ราบคาบ

         
ฝ่ายพระเจ้าชียงใหม่ศรีสองเมืองเห็นว่า  การภายในบ้านเมืองพม่ากำลังยุ่งเหยิงอยู่เช่นนั้น  ก็ทรงดำริว่าเป็นโอกาสอันดีที่ลานนาไทยจะกอบกู้อิสรภาพ ให้กลับคืนคงดำรงเอกราชต่อไปอีก  พระองค์จึงให้แข็งเมืองขึ้น  และพร้อมกันนั้นก็ยกกองทัพไปปราบปรามหัวเมืองที่ยังฝักใฝ่ยอมอยู่ใต้อำนาจพม่าอยู่ เช่นเมืองเชียงแสนเป็นต้น  ในปี พ.ศ. ๒๑๖๙ (จุลศักราช ๙๘๘) จับตัวนายหน่อคำ เจ้าเมืองเชียงแสนมาขังไว้ที่เชียงใหม่  แล้วตั้งเจ้าเมืองนครลำปางเป็นที่ พระยาศรีสองเมือง”  ตั้งแสนอาญาเป็นหวุ่นถือพล ๓,๐๐๐ อยู่รั้งรักษาเมืองเชียงแสน  เมื่อจัดการบ้านเมืองเชียงแสนเรียบร้อยแล้ว  ก็ยกกองทัพกลับมายังเมืองเชียงใหม่

         
พระองค์ทรงได้ติดต่อไปยังหัวเมืองต่างๆในลานนาไทย  ให้ช่วยกันกอบกู้อิสรภาพและแข็งเมืองต่อพม่า  หัวเมืองที่แข็งเมืองจึงต่อสู้กองทัพพระเจ้าสุทโธธรรมราชาอย่างแข็งแรง  ซึ่งพระเจ้าสุทโธธรรมราชาต้องตั้งค่ายอยู่ถึง ๓ ปี  จึงตีแตก  คือเมืองฝาง (อ่านเรื่องพระนางสามผิว) แต่พระองค์ทรงทำการไม่สำเร็จสมความมุ่งหมาย  เพราะกำลังของพม่าในครั้งนั้นเข้มแข็งนัก  และบรรดาหัวเมืองต่างๆ ไม่มีความสามัคคีกัน  บางเมืองยังเกรงกลัวพม่าอยู่ก็ไม่อาจแข็งเมืองได้

         
ฝ่ายพระเจ้าสุทโธธรรมราชา  หลังจากที่ทรงจัดการบ้านเมืองเสร็จเรียบร้อย  ทรงทราบว่าหัวเมืองในลานนาไทยแข็งเมืองกระด้างกระเดื่องต่อพระองค์  ก็ทรงยกกองทัพใหญ่มาปราบปราม  ในปีพ.ศ. ๒๑๗๔ ปีมะแมตรีศก จุลศักราช ๙๙๓  ทรงตีเมืองเชียงใหม่แตก  และจับตัวพระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมืองได้  จึงให้คุมตัวไปกักขังไว้ที่กรุงอังวะจนถึงแก่ทิวงคต

         
พระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมืองได้ครองเมืองเชียงใหม่แต่ปี พ.ศ. ๒๑๕๗  สิ้นอิสรภาพถูกพม่าจับตัวในปี พ.ศ. ๒๑๗๔  รวมเวลาทีครองราชย์สมบัติ ๑๗ ปี  แล้วพม่าตั้งให้พระยาหลวงทิพเนตรเจ้าเมืองฝางมาครองเมืองเชียงใหม่  นับแต่นั้นมาลานนาไทยและเมืองเชียงใหม่ก็ตกอยู่ในอำนาจพม่า  สิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิง

เจดีย์พระธาตุแช่แห้ง เป็นปูชนียสถานที่สำคัญและเก่าแก่ของจังหวัดน่านตามตำนานเดิมและพงศาวดารเมืองน่าน กล่าวว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครปัว สร้างขึ้นในระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หลังจากนั้นมีการสร้างเสริมโครงสร้างหลายครั้งด้วยกัน ครั้งสุดท้าย เจ้าศรีสองเมืองได้สร้างเจดีย์องค์ปัจจุบันครอบองค์เดิม เมื่อ พ.ศ. ๒๑๕๓ 







ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.bloggang.com(คัดจาก "คนดีเมืองเหนือ"  -  สงวน  โชติสุขรัตน์) 

1 ความคิดเห็น: