พระเจ้าศรีสองเมือง ทรงครองราชย์แคว้นล้านนา ใน ๒๑๕๘ - ๒๑๗๔ ในกำกับของพม่าเป็นระยะเวลา ๑๖ ปี พระองค์ทรงเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าฟ้าสารวตี และทรงเป็นเจ้าเมืองน่าน ในช่วงเวลานี้แผ่นดินพม่าอยู่ในรัชสมัยของพระเจ้าสีหสุธรรมราชา พระองค์จึงคิดยึดครองล้านนากลับมามีเอกราชอีกครั้ง เจ้าศรีสองเมืองจึงเอาใจออกห่างพม่า จากนั้นพระองค์ก็ถูกจับกุมไปไว้ในนครหงสาวดี
เจ้าศรีสองเมือง หรือมีนามภายหลังที่ได้ครองเมืองน่านแล้วว่า เจ้าพระยาพลศึกซ้ายไชยสงคราม ผู้นี้เป็นสำคัญคนหนึ่งของลานนาไทย ต่อมาภายหลังพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ ประมุขของอาณาจักรลานนาไทย ในยุคพม่าเรืองอำนาจ ท่านได้คิดกู้อิสรภาพทำการแข็งเมืองสู้รบกับพม่าผู้เกรียงไกรในยุคนั้น แต่ยังไม่ถึงคราวที่ลานนาไทยจะเป็นอิสรภาพ พม่าซึ่งมีกำลังเหนือกว่าจึงเป็นฝ่ายชนะ และจับกุมตัวพระองค์ไปกักขังไว้ที่กรุงอังวะ จนถึงแก่ทิวงคต ณ ที่นั้นเอง
ในสมัยประมาณ พ.ศ. ๒๑๐๓ ในครั้งนั้นเชียงใหม่ได้เสียอิสรภาพแก่พม่าแล้ว (ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเมกุฏิหรือพญาแม่กุ) ทางเมืองน่านมีพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามเป็นเจ้าเมืองน่าน ครั้งต่อมาใน พ.ศ. ๒๑๒๓ เจ้าฟ้าสารวดี (หรือในตำนานโยนกเรียกว่า มังซานรธามังคุย เป็นราชบุตรของพระเจ้าบุเรงนอง เดิมครองเมืองสารวดี พระบิดาให้มาครองเมืองเชียงใหม่ต่อจากพระนางวิสุทธิเทวี) ได้ยกกองทัพมาตีเมืองน่าน พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามเห็นทีจะสู้ไม่ได้จึงยอมสวามิภักดิ์ขึ้นต่อเชียงใหม่ พระยาเสถียรไชยสงครามมีราชบัตรอยู่ ๔ องค์ องค์โตชื่อเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ องค์ที่ ๒ ชื่อ เจ้าน้ำบ่อ (แต่แรกไม่ปรากฏชื่อ ชื่อนี้เรียกเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว) องค์ที่ ๓ ชื่อ เจ้าศรีสองเมือง องค์ที่ ๔ ชื่อ เจ้าอุ่นเมือง
เมื่อเจ้าศรีสองเมืองบุตรองค์ที่ ๓ ประสูติออกมานั้น เกิดมหัศจรรย์ต่างๆ เช่นแผ่นดินไหวเป็นต้น พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามบิดาจึงให้หาโหรมาทำนาย โหรทำนายว่า เจ้าศรีสองเมืองผู้นี้ เมื่อเติบโตไปภายหน้าจะมีบุญญาบารมีมากนัก แต่ว่าจะทำปิตุฆาต ขอให้เอาไปฆ่าทิ้งเสียให้ตาย พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามทรงเห็นด้วย จะให้เอาไปทิ้งเสียตามคำทำนายของโหร แต่เจ้าน้ำบ่อราชบุตรองค์ที่ ๒ ได้กราบทูลทัดทานไว้เพราะความสงสาร และทูลขอเอากุมารผู้เป็นน้องนั้นไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งพระบิดาก็ทรงอนุญาตตามความประสงค์ เจ้าน้ำบ่อจึงเอาน้องไปเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ขึ้นมา
ฝ่ายพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามได้ครองเมืองน่านสืบมา จนกระทั่งย่างเข้าวัยชราก็ประชวรถึงแก่พิราลัย เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ราชบุตรที่ ๑ จึงได้ครองเมืองน่านสืบมา เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ได้ขึ้นครองเมืองน่านในปี พ.ศ. ๒๑๓๔ หลังจากที่ครองเมืองได้ ๖ ปี ลุปี พ.ศ. ๒๑๓๙ โปรดให้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้น ในสมัยนั้นเมืองน่านขึ้นต่อเชียงใหม่ ซึ่งมีกษัตริย์เป็นพม่าครองอยู่ เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์คิดกูอิสรภาพ จึงตั้งแข็งเมืองไม่ย่อมส่งส่วยให้พระเจ้าเชียงใหม่ (เจ้าฟ้าสารวดี) พระเจ้าเชียงใหม่ทรงทราบว่าเมืองน่านแข็งเมืองเช่นนั้น ก็ทรงยกกองทัพมาเพื่อปราบปราม ให้เข้าอยู่ในอำนาจของพระองค์เช่นเดิม เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ยกกองทัพไปตั้งรับอยู่ที่ตำบลปากงาว และได้สู้รบกันเป็นสามารถ แต่เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์มีกำลังไพร่พลน้อยกว่า จึงพ่ายแพ้แก่กองทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ ล่าถอยหนีไปอาศัยอยู่กับพระเจ้าล้านช้าง ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่เมื่อตีได้เมืองน่านแล้ว ก็แต่งตั้งพระยาแขกอยู่รักษาเมืองน่าน
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๔๓ เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์และน้องทั้งสาม ได้กำลังกองทัพล้านช้างช่วยเหลือ ได้ยกไปรบพระเจ้าชียงใหม่ แต่เมืองเชียงใหม่สู้รบป้องกันเมืองแข็งแรงนัก ตีไม่แตก จึงล่าถอยมายังเมืองน่าน พระยาแขกผู้รักษาเมืองน่าน เห็นกองทัพเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ยกมาเช่นนั้น เกรงว่าชาวเมืองจะไม่เป็นใจด้วย จึงไม่คิดสู้รบและอพยพครัวหนีไปยังเมืองเชียงใหม่เสีย เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์จึงยกเข้าไปตั้งอยู่เมืองน่านอีกครั้งหนึ่ง
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๔๖ พระเจ้าเชียงใหม่ยกกองทัพมาตีเมืองน่านอีก ครั้งนั้นเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์และเจ้าน้ำบ่อได้มอบให้เจ้าศรีสองเมือง ซึ่งเป็นทั้งน้องและบุตรบุญธรรมของเจ้าน้ำบ่อเป็นผู้รักษาด้านประตูหิ้งน้อย แต่เจ้าศรีสองเมืองกลับคิดเอาใจออกหากจากพี่ทั้งสอง ไปเข้ากับพระเจ้าเชียงใหม่ เปิดประตูเมืองออกรับกองทัพพม่าเข้าเมือง พม่าจับตัวเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์และเจ้าน้ำบ่อ ผู้เป็นพี่และบิดาเลี้ยงเจ้าศรีสองเมืองได้ พม่าจึงให้เอาไม้หนีบอกเจ้าน้ำบ่อไว้อยู่ได้ ๗ วันก็ถึงแก่กรรม แล้วให้เอาศพไปทิ้งไว้ที่บ่อน้ำข้างตะวันตกวัดภูมินทร์ จึงเรียกว่า “เจ้าน้ำบ่อ” แต่นั้นมาตราบจนทุกวันนี้ ส่วนเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์นั้น พม่าจับตัวไปยังเมืองเชียงใหม่
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๕๗ จุลศักราช ๙๗๖ (พงศาวดารลานนาไทยฉบับของแสนหลวงราชสมภาร ว่า พ.ศ. ๒๑๕๘ จุลศักราช ๙๗๗) เดือน ๕ น้องมองกวยตกราชบุตรองค์ที่ ๒ ของพระเจ้าเชียงใหม่สารวดีทิวงคต ไม่มีราชบุตรที่จะสืบสันตติวงศ์ บรรดาขุนนางท้าวพระยาทั้งหลายและข้าราชบริพารทั้งมวล จึงพร้อมใจกันไปอัญเชิญเอาเจ้าพระยาพลศึกซ้ายไชยสงคราม เจ้าเมืองน่าน ผู้เป็นราชบุตรบุญธรรมของพระเจ้าเชียงใหม่สารวดีนั้น มาครองเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมืองจึงโปรดให้เจ้าอุ่นเมืองอนุชาเป็นเจ้าเมืองน่าน แล้วพระองค์เสด็จขึ้นมาครองเมืองเชียงใหม่
ในครั้งนั้น ภายใต้เศวตฉัตรของประเทศพม่าเกิดยุ่งเหยิง เนื่องจากมังเรทิปราชบุตรของพระเจ้าหงสาวดีร่วมคิดกับขุนนางลอบปลงพระชนม์พระเจ้าหงสาวดี แล้วยกมังเรทิปขึ้นเสวยราชสมบัติแทน เมื่อความทราบถึงสะโดะธรรมราชา (พระเจ้าสุทโธธรรมราชาหรือพระเจ้าแปร) กับมังเรกะยอโส (พระเจ้าอังวะ) ซึ่งมาจัดการปกครองแคว้นลานนาไทยอยู่ในขณะนั้น ก็รีบยกกองทัพกลับไป ครั้นถึงเมืองปินยาทราบว่าเจ้าราชบุตรมังเรทิป (หรือนองรามเมง) ได้ครองราชย์สมบัติแล้ว ก็ถอยไปรวบรวมกำลังรี้พลที่เมืองฮ่อ ได้กำลังพอแล้วก็ยกไปตีเมืองพะโคถอดมังเรทิปออกเสียจากราชสมบัติ และพระเจ้าแปร (สะโดธรรมราชา) จึงขึ้นครองราชย์สมบัติ และทรงตั้งให้มังเรกะยอโส (พระเจ้าอังวะหรือมังเรจอชะวา) เป็นมหาอุปราชา แต่ให้รักษากรุงอังวะไว้ ส่วนพระเจ้าสุทโธธรรมราชาได้ยกกองทัพกลับมายังลานนาไทยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ในแคว้นลานนาไทยที่ยังแข็งเมืองอยู่นั้นให้ราบคาบ
ฝ่ายพระเจ้าชียงใหม่ศรีสองเมืองเห็นว่า การภายในบ้านเมืองพม่ากำลังยุ่งเหยิงอยู่เช่นนั้น ก็ทรงดำริว่าเป็นโอกาสอันดีที่ลานนาไทยจะกอบกู้อิสรภาพ ให้กลับคืนคงดำรงเอกราชต่อไปอีก พระองค์จึงให้แข็งเมืองขึ้น และพร้อมกันนั้นก็ยกกองทัพไปปราบปรามหัวเมืองที่ยังฝักใฝ่ยอมอยู่ใต้อำนาจพม่าอยู่ เช่นเมืองเชียงแสนเป็นต้น ในปี พ.ศ. ๒๑๖๙ (จุลศักราช ๙๘๘) จับตัวนายหน่อคำ เจ้าเมืองเชียงแสนมาขังไว้ที่เชียงใหม่ แล้วตั้งเจ้าเมืองนครลำปางเป็นที่ “พระยาศรีสองเมือง” ตั้งแสนอาญาเป็นหวุ่นถือพล ๓,๐๐๐ อยู่รั้งรักษาเมืองเชียงแสน เมื่อจัดการบ้านเมืองเชียงแสนเรียบร้อยแล้ว ก็ยกกองทัพกลับมายังเมืองเชียงใหม่
พระองค์ทรงได้ติดต่อไปยังหัวเมืองต่างๆในลานนาไทย ให้ช่วยกันกอบกู้อิสรภาพและแข็งเมืองต่อพม่า หัวเมืองที่แข็งเมืองจึงต่อสู้กองทัพพระเจ้าสุทโธธรรมราชาอย่างแข็งแรง ซึ่งพระเจ้าสุทโธธรรมราชาต้องตั้งค่ายอยู่ถึง ๓ ปี จึงตีแตก คือเมืองฝาง (อ่านเรื่องพระนางสามผิว) แต่พระองค์ทรงทำการไม่สำเร็จสมความมุ่งหมาย เพราะกำลังของพม่าในครั้งนั้นเข้มแข็งนัก และบรรดาหัวเมืองต่างๆ ไม่มีความสามัคคีกัน บางเมืองยังเกรงกลัวพม่าอยู่ก็ไม่อาจแข็งเมืองได้
ฝ่ายพระเจ้าสุทโธธรรมราชา หลังจากที่ทรงจัดการบ้านเมืองเสร็จเรียบร้อย ทรงทราบว่าหัวเมืองในลานนาไทยแข็งเมืองกระด้างกระเดื่องต่อพระองค์ ก็ทรงยกกองทัพใหญ่มาปราบปราม ในปีพ.ศ. ๒๑๗๔ ปีมะแมตรีศก จุลศักราช ๙๙๓ ทรงตีเมืองเชียงใหม่แตก และจับตัวพระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมืองได้ จึงให้คุมตัวไปกักขังไว้ที่กรุงอังวะจนถึงแก่ทิวงคต
พระเจ้าเชียงใหม่ศรีสองเมืองได้ครองเมืองเชียงใหม่แต่ปี พ.ศ. ๒๑๕๗ สิ้นอิสรภาพถูกพม่าจับตัวในปี พ.ศ. ๒๑๗๔ รวมเวลาทีครองราชย์สมบัติ ๑๗ ปี แล้วพม่าตั้งให้พระยาหลวงทิพเนตรเจ้าเมืองฝางมาครองเมืองเชียงใหม่ นับแต่นั้นมาลานนาไทยและเมืองเชียงใหม่ก็ตกอยู่ในอำนาจพม่า สิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิง
เจดีย์พระธาตุแช่แห้ง เป็นปูชนียสถานที่สำคัญและเก่าแก่ของจังหวัดน่านตามตำนานเดิมและพงศาวดารเมืองน่าน กล่าวว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครปัว สร้างขึ้นในระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หลังจากนั้นมีการสร้างเสริมโครงสร้างหลายครั้งด้วยกัน ครั้งสุดท้าย เจ้าศรีสองเมืองได้สร้างเจดีย์องค์ปัจจุบันครอบองค์เดิม เมื่อ พ.ศ. ๒๑๕๓
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.bloggang.com(คัดจาก "คนดีเมืองเหนือ" - สงวน โชติสุขรัตน์)
แต่งเรื่องสะเล๊ะเลย 555
ตอบลบ